xs
xsm
sm
md
lg

“ชัชชาติ” เตรียมเปิด OPEN DATA แจ้งพิกัด PM 2.5 แก้ต้นตอฝุ่น พร้อมเดินหน้าโครงการนักสืบฝุ่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เตรียมเปิด OPEN DATA แจ้งพิกัด PM 2.5 แจ้งต้นตอและแก้ปัญหาฝุ่น พร้อมเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายเข้มข้น

วันนี้ (21 มิ.ย.) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประชุมหารือความร่วมมือเกี่ยวกับโครงการสานพลังเคาท์ดาวน์ PM 2.5 เพิ่มสุขภาวะคนเมือง (หลวง) โดยมี นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร นายเฉลิมพล โชตินุชิต รองปลัดกรุงเทพมหานคร นายวิรัตน์ มนัสสนิทวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม ดร.สุมิท แช่มประสิทธิ์ ประธานกรรมการมูลนิธิส่งเสริมการออกแบบอนาคตประเทศไทย นายชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พร้อมคณะ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องสุทัศน์ ชั้น 2 ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า เขตพระนคร

สำหรับโครงการสานพลังเคาท์ดาวน์ PM 2.5 เพิ่มสุขภาวะคนเมือง (หลวง) เป็นโครงการของมูลนิธิส่งเสริมการออกแบบอนาคตประเทศไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สสส. โครงการนี้ทีมมูลนิธิส่งเสริมการออกแบบอนาคตประเทศไทย ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการ (Implementer) ที่จะทำกิจกรรมลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยตรง แต่เป็นทีมผู้ออกแบบและจัดกระบวนการ (Facilitator) ในการจัดกระบวนการให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มาร่วมกันสร้างโครงการขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 วัตถุประสงค์โครงการ มีดังนี้ 1. สร้างความร่วมมือและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งกลุ่มเจ้าภาพหลัก และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ภาครัฐ (หน่วยงานเจ้าของเรื่องและส่วนที่เกี่ยวข้อง) ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน ภาควิชาการ สื่อมวลชน และเยาวชน 2. ให้มีเป้าหมายการทำงานร่วมกันในการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 เพื่อให้เกิดจุดคานวัดในการดำเนินงานที่สามารถเปลี่ยนหรือพลิกสถานการณ์ของปัญหาฝุ่น PM 2.5 เพื่อนำไปสู่การลดปัจจัยเสี่ยงและผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน 3. สร้างแพลตฟอร์มการสื่อสารสาธารณะ เพิ่มการตระหนักรู้ถึงผลกระทบต่อสุขภาพ สร้างการมีส่วนร่วมของกลุ่มประชากรเป้าหมาย (Target Population) โดยเฉพาะกลุ่มคนเมืองและเยาวชน คนรุ่นใหม่ ให้เป็นพลเมืองที่ตื่นตัวและตื่นรู้ (Active Citizen)

ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยภายหลังจากการประชุมหารือว่า จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องสืบเนื่อง ตั้งแต่ในช่วงที่หาเสียงเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. เรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งที่ทุกคนพูดถึงคือ เรื่องฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนสั่งให้ทำ ประกอบกับทาง สสส. ได้สนับสนุนมูลนิธิส่งเสริมการออกแบบอนาคตประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ที่นำหลายๆ หน่วยงานมาเจอกันเพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยจัดเวิร์กชอป เรื่อง PM 2.5 ซึ่งเราก็ยินดี เพราะนโยบายเรื่อง PM 2.5 มีอยู่หลายเรื่องและเริ่มดำเนินการไปแล้ว หลักๆ มี 4 ด้าน ดังนี้

1. การกำจัดต้นตอของ PM 2.5 มีการตั้งนักสืบฝุ่น PM 2.5 ร่วมกับมหาวิทยาลัยวิเคราะห์ฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพฯ มาจากไหน ทำให้มีข้อมูลระยะยาวและดำเนินการเชิงรุก เช่น กำจัดต้นตอจากรถที่ใช้ระดับเชื้อเพลิงดีเซลที่เผาไหม้ไม่มีประสิทธิภาพ อาจจะเป็นเรื่องหนึ่งที่อยู่ในการสัมมนาครั้งนี้ โดยเฉพาะการเปลี่ยนรถยนต์ที่ใช้ระบบสันดาปเป็นรถไฟฟ้า ซึ่งมีรถเก่าจำนวนมากในกรุงเทพฯ ถ้าไปซื้อรถไฟฟ้าอาจจะแพง ถ้าเปลี่ยนแปลงให้เป็นรถไฟฟ้าได้ทางโรงเรียนฝึกอาชีพ กทม. อาจจะช่วยสอนได้

2. การไปดูต้นตอว่าโรงงานไหนปล่อยควันพิษอย่างไร โดยเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 65 ทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้มีมาตรการออกมาว่า โรงงานต้องมีการติดตามควันมลพิษที่ปล่อยออกมาจากปล่อง ซึ่งเราจะเอาข้อมูลตรงนี้มาเปิดเผยให้มากขึ้น ในส่วนเรื่องการบรรเทาเหตุที่เกิด ต้องพยายามทำในส่วนที่มีค่า PM 2.5 สูงให้ต่ำให้ได้ เช่น บางจุดให้ใช้รถสาธารณะ จำกัดการใช้รถยนต์ สนับสนุนให้คนใช้รถสาธารณะให้มากขึ้น หรือปลูกต้นไม้ล้านต้นตามนโยบายเราเพื่อลดฝุ่น

3. การป้องกัน จะต้องมีการแจกอุปกรณ์เพื่อช่วยบรรเทาฝุ่น เช่น หน้ากาก เครื่องกรองอากาศ ให้กับกลุ่มเปราะบาง รวมทั้งทำพื้นที่ปลอดภัยในโรงเรียน โรงพยาบาล ศูนย์สาธารณสุขต่าง ๆ และ 4. การคาดการณ์และการแจ้งเหตุ โดยมีเครือข่ายตัวเซ็นเตอร์ให้เยอะขึ้น ปัจจุบัน กทม. มีอยู่ 50 จุด ต้องร่วมกับภาคเอกชน มหาวิทยาลัย ให้เป็นอย่างน้อย 1,000 จุด ทั่วกรุงเทพฯ จะได้มีการเตือนภัย รวมทั้งการพยากรณ์ฝุ่นให้แม่นยำขึ้น มีข้อมูลบนบอร์ดให้ประชาชนเห็นเรียลไทม์ในจุดต่างๆ เช่น โรงเรียน สถานที่สาธารณะ เพื่อให้ประชาชนสามารถป้องกันตนเองได้

“ผมเชื่อว่า มันต้องมี 2 องค์ประกอบด้วยกัน คือ ใช้ ฮาร์ดเพาเวอร์ คือ กฎหมายต้องเข้มข้น กทม. ต้องไปตรวจรถควันดำ ไซต์งานก่อสร้าง ขณะเดียวกับ ซอฟต์เพาเวอร์ ก็สำคัญ อย่างที่จีนเขาเอาข้อมูลเปิดเผยออกมาเลยว่า PM 2.5 เท่าไหร่ ถ้าหากเรา OPEN DATA มีข้อมูลว่าบริเวณไหนปล่อย PM 2.5 พลังของประชาชนจะมีส่วนในการบังคับให้คนลดการใช้การปล่อย PM 2.5 ลง เป็นมาตรการทางการตลาด มาตรการทางสังคม ซึ่งมีผลไม่น้อยกว่าฮาร์ดเพาเวอร์ หาก กทม. สามารถเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ได้มากขึ้น” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว

ด้าน นายชาติวุฒิ กล่าวว่า ปีนี้ สสส. ให้ความสำคัญกับปัญหามลพิษทางอากาศที่เข้มข้น ต้องมานั่งคุยกันว่าสุดท้ายทางออกในการแก้ปัญหาฝุ่นคืออะไร ทุกคนสามารถมีส่วนร่วม กลไกสำคัญคือจุดคานงัดที่ทุกคนสามารถจัดการปัญหา ทุกคนสามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นได้

ดร.สุมิท กล่าวเสริมว่า การทำงานของเราไม่ใช่การคิดแผน แต่เป็นการชวนมาขับเคลื่อน จุดอ่อนของการแก้ไขปัญหา PM 2.5 คือ 1. มีคนรับผิดชอบในเรื่องของกฎหมายและนโยบายอยู่หลายองค์กรมาก ต่างคนต่างคิดต่างคนต่างทำ 2. ประชาชนทั่วไปมองไม่เห็นความสำคัญของเรื่องฝุ่น มีแต่เพียงคนบางกลุ่มที่ให้ความสำคัญและขับเคลื่อน ซึ่งหวังว่า เราจะสามารถเดินทางไปถึงจุดเปลี่ยนที่เราสามารถแก้ไขปัญหา PM 2.5 ให้กับชาวเมืองหลวงได้

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ได้กล่าวเสริมถึงปัญหา PM 2.5 เพิ่มเติม คือ การขาดข้อมูลที่แท้จริง ที่มีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง กทม. จะทำโครงการนักสืบฝุ่น คือ จะรวบรวมกับทางมหาวิทยาลัยในการวิเคราะห์อากาศอย่างต่อเนื่อง ว่าฝุ่นมาจากไหน รายละเอียดเป็นอย่างไร เพื่อทำให้เราสามารถเข้าใจปัญหาอย่างถ่องแท้ เรื่องฝุ่นมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องมีเจ้าภาพที่ร่วมมือกัน ไม่เช่นนั้นแล้ว การบังคับใช้กฎหมายจะลำบาก นอกจากนี้ ปัญหาฝุ่นที่มาเป็นฤดูกาล ในช่วงเดือน พ.ย. และหมดเดือน มี.ค. ทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นแบบระยะสั้น แต่จริงๆ แล้วมีผลต่อสุขภาพในระยะยาว ฝุ่นมาแค่ 5 เดือน แต่ผลร้ายอยู่ไปตลอดชีวิตหากเข้าไปในปอด ต้องเป็นการวางแผนอย่างเอาจริงเอาจัง และทำในระยะยาว และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา

“ต่อไปในอนาคตการแก้ไข PM 2.5 อาจจะใช้แพลตฟอร์ม เปิดเผยข้อมูลเลยว่า โรงงานนี้ปล่อยสารพิษเท่าไหร่ แต่ละเขตดูแลอย่างไร ถ้าทุกคนเห็นข้อมูลที่โปร่งใส ผมเชื่อว่าจะเกิดความร่วมมือและเกิดพลัง ทั้งซอฟต์เพาเวอร์ คือ พลังของประชาชนที่เข้ามาดูแลพวกนี้ด้วย PM 2.5 ไม่ใช่ปัญหาของคนใดคนหนึ่ง เป็นปัญหาของทุกคนที่ต้องร่วมมือกัน” ผู้ว่าฯ ชัชชาติกล่าว




กำลังโหลดความคิดเห็น