xs
xsm
sm
md
lg

กพย.เตือน "กัญชา" มีทั้งประโยชน์และโทษ หวั่นใช้ผิด-โอเวอร์โดส เสี่ยงภาวะวิกฤต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กพย.เตือน "กัญชา" มีทั้งประโยชน์และโทษ ใช้ทางการแพทย์รักษา 6 โรค ลด 4 อาการป่วย แต่หากใช้ไม่ถูกต้อ ใช้เกินจำเป็น โอเวอร์โดส ทำเพลีย ซึมเศร้า ก้าวร้าว เกิดอาการวิกฤตได้ เร่งศึกษาผลกัญชาระยะยาวหลากมิติ ทำข้อเสนอเชิงนโยบายนำมาใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม

เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ผศ.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) กล่าวว่า กพย.ร่วมกับ สสส. สร้างความเข้มแข็งกลไกเฝ้าระวังระบบยา สร้างและจัดการความรู้ระบบยาเพื่อเฝ้าระวังเตือนภัยสังคม และพัฒนางานวิชาการสนับสนุนนโยบายด้านระบบยาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ หลังปลดล็อกกัญชาจากยาเสพติดเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทำให้กระแสเรื่องกัญชาเป็นที่สนใจ โดยกัญชาถือเป็นสมุนไพรมีประโยชน์ทางการแพทย์ แต่หากใช้ไม่ถูกต้อง ใช้เกินความจำเป็น หรือมีสาร THC เกิน 0.2% อาจทำให้เกิดอาการวิกฤตที่ส่งผลต่อระบบสาธารณสุข และเศรษฐกิจของประเทศได้

ผศ.ภญ.นิยดา กล่าวว่า กัญชามีสารสำคัญหลายชนิด เช่น แคนนาบินอยด์ นำมาใช้รักษาหรือบรรเทาอาการปวดของโรค คำแนะนำการใช้กัญชาทางการแพทย์ ปี 2564 โดยกรมการแพทย์ ระบุว่า กัญชารักษา 6 โรค/ภาวะ คือ 1.ภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัด 2.โรคลมชักที่รักษายาก 3.ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง 4.ภาวะปวดประสาท 5.ภาวะเบื่ออาหารในผู้ป่วย AIDS ที่มีน้ำหนักตัวน้อย และ 6.เพิ่มคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยระยะสุดท้าย และพบหลักฐานเชิงประจักษ์ในการช่วยควบคุมอาการ แต่ไม่ได้รักษาให้โรคหายขาดอีก 4 โรค คือ 1.โรคพาร์กินสัน 2.โรคอัลไซเมอร์ 3.โรควิตกกังวลทั่วไป และ 4.โรคปลอกประสาทอักเสบ ซึ่งควรใช้ตามแพทย์สั่ง แจ้งยาที่ใช้ส่วนตัว และเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด

“กัญชามีทั้งประโยชน์และโทษ ข้อมูลจำเป็นในการกำกับดูแลกัญชา-กัญชง โดย อย.พบผลข้างเคียงของกัญชา เช่น ง่วงนอน เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตับอักเสบ ผิวผดผื่น อุจจาระร่วง อ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า ก้าวร้าว ขณะนี้ กพย. ร่วมกับ สสส. เร่งศึกษาเรื่องกัญชาระยะยาว ในมิติประโยชน์ทางการแพทย์ มิติทางสังคมวัฒนธรรมและวิถีชีวิต และมิติด้านความมั่นคงทางยาและสุขภาพ ให้มีข้อมูลความรู้ให้ประชาชนได้มากขึ้น เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายในการที่จะนำพืชกัญชามาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัยต่อไป” ผศ.ภญ.นิยดา กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น