ศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด ชี้ ปลดล็อกกัญชา-กัญชง ประชาชนต้องศึกษาวิธีใช้ให้ถูกต้อง ป้องกันปัญหาสุขภาพเผย โควิด-19 ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบการใช้กัญชามากขึ้น 2 เท่า เตือน เฝ้าระวังเด็ก-เยาวชนใช้ในทางผิด ป้องกันเข้าวงจรสารเสพติด
รศ.พญ.รัศมน กัลยาศิริ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) กล่าวว่า การ ปลดล็อกกัญชง-กัญชา ออกจากบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 เชื่อว่าได้ผ่านการกลั่นกรองจากทุกฝ่ายครบถ้วนแล้ว แต่การที่ยังไม่มีพระราชบัญญัติกัญชา-กัญชง ควบคุมเรื่องนี้โดยเฉพาะ จึงเป็นห่วงความปลอดภัยว่า จะถูกใช้ในเชิงสันทนาการ หรือนำไปซื้อ-ขายแบบทั่วไปในทางที่ผิดและอันตราย เพราะประชาชนสามารถจดแจ้งปลูกกัญชา-กัญชง ผ่านแอปพลิเคชัน “ปลูกกัญ” หรือเว็บไซต์ http://plookganja.fda.moph.go.th ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้อย่างเสรี ระหว่างนี้จึงแนะนำว่า หากจะทำอะไรต้องยึดตามระเบียบและกฎหมาย เช่น หากจะใช้ส่วนต่างๆ ของกัญชามาทำอาหาร ก็ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอาหาร หรือหากนำมาใช้ในทางการแพทย์ ก็ต้องปฏิบัติตามหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อให้เกิดความปลอดภัย
รศ.พญ.รัศมน กล่าวว่า ศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) สำรวจประชากร 5,000 คน ตั้งแต่ ปี 2563 – 2565 พบการใช้กัญชาในช่วงโควิด-19 มากขึ้น ขณะที่การใช้สารเสพติดชนิดอื่นลดลง คาดการณ์ว่า มีผลมาจากการล็อกดาวน์ช่วงโควิด-19 ระลอกแรก ในช่วงเดือนเมษายน ปี 2563 ที่ทำให้การสังสรรค์ลดลง ซึ่งอาจส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายสารเสพติดลำบาก โดยพบผู้ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการเพิ่มขึ้น 2 เท่าในปี 2564 และปี 2565 ยังพบการใช้สูงต่อเนื่อง และพบว่าเมื่อออกกฎหมายให้นำกัญชาบางส่วนมาใช้ได้ เช่น นำใบมาใส่อาหาร ทำให้เกิดการใช้กัญชา 2 ลักษณะ คือ การดื่มหรือ ผสมเครื่องดื่ม (Oral Use) และการสูบ (Smoking Use) โดยพบการดื่มมากขึ้นเพราะกฎหมายอนุญาตแล้ว และหากจำแนกการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ พบว่ากลุ่มวัยผู้ใหญ่หรือวัยกลางคน นิยมใช้กัญชาในรูปแบบของการกินดื่มขณะที่เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี พบอัตราการสูบมากถึง 2 เท่า
“ปัจจัยการเริ่มใช้ยาเสพติดในเด็กและเยาวชน สิ่งแวดล้อมมีส่วนสำคัญมาก โดยพบว่าหากครอบครัวมีประวัติการใช้หรืออยู่ในที่ที่เข้าถึงยาเสพติดได้ง่าย เด็กเยาวชนก็จะซึมซับ และมีแนวโน้มใช้ตาม ส่วนพันธุกรรมก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดการติดง่าย หากคนในครอบครัวใช้ ดังนั้นการปลดล็อกย่อมส่งผลให้เกิดการใช้ในครัวเรือนมากขึ้น เพียงแค่จดแจ้งว่าครอบครัวไหนปลูกนำไปใช้บ้าง แต่ครอบครัวไหนมีเด็กก็ย่อมเห็นได้ง่าย ดังนั้นต้องระมัดระวังในเรื่องนี้” รศ.พญ.รัศมน กล่าว
รศ.พญ.รัศมน กล่าวว่า ในทางการแพทย์ไม่อยากให้สารจากกัญชาเข้าไปสู่ร่างกายโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้แนะนำให้ใช้จำนวนน้อยที่สุด ขณะที่อาหารมีกฎหมายควบคุม เพียงแต่ขอให้ปฏิบัติตาม เช่น กำหนดให้ใส่ใบกัญชา1-2 ใบ ก็ใส่แค่นั้น อย่าใส่เกิน เพราะอาจได้รับสารมึนเมาเกินขนาด และต้องระวังการใช้ความร้อนในการปรุงด้วยเพราะมีผลต่อการสกัดให้สาร THC เข้มข้นเกิน 0.2% ซึ่งผิดกฎหมาย และย้ำว่าประชาชนอย่าใช้ช่อดอกมาทำอาหารเพราะผิดกฎหมาย ทั้งนี้คาดการณ์ว่าคนสนใจนำสารเหล่านี้ไปใส่ในอาหารเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพราะเป็นของผิดกฎหมายปิดมานาน และเมื่อมีการปลดล็อกกัญชาแล้วมองว่า ไม่ว่ากัญชาจะมีสถานะไหน ถูกหรือผิดกฎหมายกัญชาก็เป็นพืชชนิดหนึ่ง ที่มีสารที่ต้องระวังอย่างยิ่งคือ สาร THC มีฤทธิ์ทำให้มึนเมา คนที่อยากรู้อยากลองต้องระมัดระวัง เช่น การรับประทานอาหารอย่าบริโภคมากเกินไป ส่วนการสูบไม่แนะนำเพราะจะเกิดผลกระทบกับชีวิตหากได้รับสาร THC มากไป ดังนั้นการปลดล็อกหรือไม่ปลดล็อกในการใช้กัญชาต้องระวังเหมือนเดิม