ผู้เชี่ยวชาญโต้ รมว.ดีอีเอส ห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าทำให้ขายออนไลน์มากขึ้นไม่จริง เผยอเมริกาปล่อยขายถูกกฎหมายก็ขายออนไลน์พุ่ง พอออกกฎคุมเข้มร้านค้า ก็หันไปทำการตลาดออนไลน์ ใช้อินฟลูเอนเซอร์ ย้ำไทยควรห้ามบุหรี่ไฟฟ้าต่อไป
เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. พญ.เริงฤดี ปธานวนิช อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านควบคุมยาสูบ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี เปิดเผยว่า ขณะนี้ที่สหรัฐอเมริกามีการออกกฎระเบียบและบังคับใช้กฎหมายกับร้านขายบุหรี่ไฟฟ้าที่เข้มงวดขึ้นในหลาย ๆ รัฐ ทำให้บริษัทบุหรี่ไฟฟ้า และร้านขายบุหรี่ไฟฟ้า หันไปโฆษณา และทำการตลาดด้วยการใช้อินฟลูเอนเซอร์ผ่านทางออนไลน์มากขึ้น โดยมีการวิจัยพบว่า ร้านขายบุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่ 65% มีเว็บไซต์ของร้านเอง และ 71.7% ใช้โซเชียลมีเดียส่งเสริมการขาย และ 26.7% ขายแบบออนไลน์ งานวิจัยสรุปว่า เป็นแนวโน้มทั่วโลกที่บุหรี่ไฟฟ้า หันไปใช้ช่องทางออนไลน์ส่งเสริมการขายมากขึ้น
“สำหรับประเทศไทย การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) บอกว่า การห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ทำให้มีการขายทางออนไลน์ ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกา แสดงให้เห็นว่า แม้จะให้ขายบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างถูกกฎหมาย ก็โฆษณาและขายทางออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมาก หากมีการควบคุมอย่างเข้มงวดที่ร้านขายปลีก จึงเป็นสิ่งที่กระตุกให้คิดสำหรับผู้กำหนดนโยบาย ที่พยายามจะให้ยกเลิกกฎหมายห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า และประเทศไทยควรห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าต่อไป” พญ.เริงฤดี กล่าว
ด้าน ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า ผลการสำรวจอัตราการสูบบุหรี่ล่าสุดของฮ่องกง ปี 2021 พบว่า อัตราการสูบบุหรี่ของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป เท่ากับ 9.5% คิดเป็นจำนวนผู้สูบบุหรี่ 581,500 คน ลดลงจากอัตราการสูบบุหรี่ในปี 2019 เท่ากับ 10.2% พบอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้า 0.3% มีจำนวนผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า 17,500 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 0.1% จากปี ค.ศ.2019
ศ.นพ.ประกิต กล่าวต่อว่า ฮ่องกงเพิ่งประกาศห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าทุกชนิด ทั้งชนิดใช้น้ำยา และชนิดที่ใช้ความร้อนโดยไม่มีการเผาไหม้ (ไฮบริด) นโยบายของฮ่องกงคือ ในขณะที่การสูบบุหรี่ธรรมดาลดลง ทางการฮ่องกงไม่ต้องการให้คนฮ่องกงเสพติดบุหรี่ไฟฟ้า แล้วมาตามแก้ปัญหาที่เกิดจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในอนาคต ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นก่อนการห้ามขาย โดยเฉพาะในเยาวชน ประเทศออสเตรเลียก็ใช้นโยบายเช่นเดียวกับฮ่องกง โดยห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ขณะที่การสูบบุหรี่ธรรมดาลดลงอย่างต่อเนื่อง อัตราการสูบบุหรี่ธรรมดาอยู่ที่ 13-14% เทียบกับประเทศไทยที่อัตราการสูบบุหรี่อยู่ที่ 17.4% ในขณะที่เราพยายามควบคุมเพื่อลดการสูบบุหรี่ธรรมดา ดังนั้นจึงควรห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า เช่นเดียวกับออสเตรเลียและฮ่องกงต่อไป