xs
xsm
sm
md
lg

สธ.เผยผลตรวจผู้ป่วยสงสัย ไม่ใช่ "ฝีดาษลิง" แต่เป็น "เริม" งัดวัคซีนฝีดาษ 43 ปีตรวจ เชื้อยังเพาะขึ้น คาดมีประสิทธิภาพ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"อนุทิน" เผยผลตรวจผู้ป่วยสงสัยเข้าไทย ไม่ใช่ "ฝีดาษลิง" แต่เป็น "เริม" อภ.งัดวัคซีนฝีดาษก้นกรุ ที่เก็บแช่แข็งมากว่า 43 ปี ส่งตรวจกรมวิทย์ พบยังเพาะเชื้อขึ้น น่าจะมีประสิทธิภาพ พร้อมเร่งตรวจคุณภาพวัคซีน การปนเปื้อน ประสิทธิภาพ หากพบผู้ป่วยฝีดาษจะเก็บตัวอย่างเชื้อมาตรวจว่าวัคซีนและภูมิคนที่ปลูกฝีดาษคนมาก่อนสู้ได้หรือไม่

เมื่อวันที่ 27 พ.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเฝ้าระวังโรคฝีดาษวานรหรือฝีดาษลิง (Monkeypox) ว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ตนเดินทางกลับมาจากการประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลก (WHA) เมื่อเข้ามาถึงด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ นพ.โรม บัวทอง นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกองระบาดวิทยาและกองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ กรมควบคุมโรค ก็รายงานและพาเดินดูขั้นตอนมาตรการเฝ้าระวังที่สนามบิน ย้ำว่า ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไทยยังต้องลงทะเบียนผ่าน Thailand pass หากผู้ที่สงสัยป่วยเป็นโรคฝีดาษลิง กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็สามารถนำตัวอย่างเชื้อหรือสารคัดหลั่งมาตรวจวินิจฉัยได้ว่าเป็นฝีดาษลิงหรือไม่ เนื่องจากมี DNA Code อยู่

“อย่างกรณีชาวต่างชาติที่พบว่าเป็นผู้ที่เข้าข่ายสงสัยก็ได้เชิญมาสถาบันบำราศนราดูร และเก็บตัวอย่างไปตรวจ ซึ่งพบว่าเป็นการติดเชื้ออื่น คือ เริม แต่ไม่ว่าจะเป็นเชื้ออะไรก็ต้องระวังในเรื่องของการสัมผัสใกล้ชิด ดังนั้น การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือบ่อยๆ และการเว้นระยะห่าง ก็จะช่วยได้มากให้ห่างไกลความเสี่ยงติดเชื้อฝีดาษลิง” นายอนุทินกล่าว

เมื่อถามว่าขณะนี้มีการตรวจเชื้อผู้ที่สงสัยมากน้อย นายอนุทินกล่าวว่า ขณะนี้ตรวจตามที่เราได้รับแจ้งว่ามีผู้ป่วยหรือสงสัยว่าป่วย อย่างรายนี้ก็ต้องไปดูว่าสัมผัสใคร ซึ่งเท่าที่ทราบก็มีจำนวนหนึ่ง ก็ต้องตรวจติดตามและขอให้มาแสดงตน เพราะมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไม่ว่าจะเป็นเชื้ออะไรก็ตาม เช่น เริม หรือสุกใส ก็ต้องรีบเข้ามาพบแพทย์

เมื่อถามว่าจะมีการกักตัวผู้ที่สงสัยว่าจะป่วยเป็นโรคฝีดาษลิงอย่างไร นายอนุทินกล่าวว่า หากเข้าข่ายก็จะมี พ.ร.บ.โรคติดต่อ ที่อนุญาตให้กักตัวได้ อย่างน้อยก็ในช่วงที่รอการตรวจหาเชื้อ

เมื่อถามข้อมูลเบื้องต้นของผู้ที่สงสัยว่าติดเชื้อที่ได้รับการกักตัว นายอนุทินกล่าวว่า มาจากประเทศทางตะวันตก แอฟริกา โดยเราได้เฝ้าระวังทั้งหมด กรมควบคุมโรคได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน(EOC) กรณีโรคฝีดาษลิงขึ้นมาแล้ว เพื่อเตรียมพร้อมเฝ้าระวัง

เมื่อถามถึงการหารือกับ ผอ.ใหญ่องค์การอนามัยโลกเรื่องวัคซีนฝีดาษ นายอนุทินกล่าวว่า ผอ.ใหญ่องค์การอนามัยโลก ก็บอกว่าหากมีความจำเป็นก็จะให้การสนับสนุนตามสถานการณ์ของแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม เราได้นำวัคซีนที่เกี่ยวข้องกับโรคฝีดาษ ไข้ทรพิษที่มีการแช่แข็งเก็บรักษาไว้โดยองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ส่งไปยังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อตรวจสอบว่าการเพาะเชื้อเป็นอย่างไร เพื่อนำมาวิเคราะห์ วิจัย นำมาทำเป็นวัคซีนหรือยารักษาโรค หากเป็นโรคติดต่อร้ายแรงก็สามารถประกาศเป็นภาวะฉุกเฉินเพื่อดูแลสถานการณ์ต่างๆ ได้ ทั้งนี้ การตระหนักรู้และป้องกันตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญและดีที่สุด

“เราแช่แข็งไว้อยู่แต่เก็บมากว่า 40 กว่าปีก็ต้องนำมาตรวจดูว่า เชื้อยังใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ แม้กระทั่งองค์การอนามัยโลก ตอนถามเขาก็ยังไม่ได้บอกว่า วัคซีนนี้จะตรงกับสายพันธุ์ของโรคฝีดาษลิงในปัจจุบันหรือไม่ เราก็ต้องพึ่งพาตัวเองเท่าที่ทรัพยากรเรามีอยู่ ไม่ได้อยู่เฉย” นายอนุทินกล่าว

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัด สธ. และประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า วัคซีนฝีดาษที่ อภ.มีการแช่แข็งเก็บไว้นั้น เมื่อนำไปเพาะเชื้อที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็พบว่าเชื้อยังขึ้นอยู่ จึงน่าจะยังมีประสิทธิภาพ

ด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า วัคซีนฝีดาษที่ อภ.เก็บรักษาไว้ 43 ปีในลักษณะผง (Dry freeze) มีประมาณหมื่นโดส โดยปกติจะเก็บไว้เป็นตัวอย่างหรือการอ้างอิง เราจึงนำมาตรวจดู ซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเพื่อให้ทราบว่า วัคซีนยังมีคุณภาพหรือไม่ คือมีความปลอดภัย มีเชื้อปนเปื้อน สารเคมีเปลี่ยนไปหรือไม่ และยังมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคหรือไม่ เพราะข้อมูลการปลูกฝีดาษคน (Smallpox) ที่หยุดปลูกไปเมื่อปี 2523 ที่ระบุว่าป้องกันได้ 85% เป็นข้อมูลเก่า แต่ฝีดาษตัวปัจจุบันยังไม่มีข้อมูล ถ้าเราเจอคนไข้ในประเทศไทยจะเอาเชื้อฝีดาษลิงปัจจุบันมาเพาะ และเอาผู้ที่เคยรับวัคซีนนำเลือดมาตรวจว่าภูมิคุ้มกันสู้กับเชื้อฝีดาษลิงได้หรือไม่ ส่วนที่มีการตรวจผู้สงสัยยังไม่พบฝีดาษลิง เป็นโรคอื่น

"สำหรับวัคซีนฝีดาษที่นำมาตรวจ เป็นวัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ที่มาทำให้น็อกหมดฤทธิ์ เมื่อนำมาตรวจดูก็พบว่าเชื้อโตเร็วมากหรือเชื้อยังแอคทีฟอยู่ทั้งที่ผ่านมา 43 ปี แต่กระบวนการยังอีกยาว โดยวันนี้ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูว่าเราต้องตรวจอะไรอีกบ้าง หากจะใช้จริง ต้องทำอย่างไรบ้าง หากมีเชื้อฝีดาษลิงมาก็จะมาตรวจกับคนที่ภูมิจากวัคซีนหรือตรวจกับวัคซีนว่าเป็นอย่างไร" นพ.ศุภกิจกล่าว

เมื่อถามถึงการตรวจหาเชื้อฝีดาษลิงในผู้ที่เข้าข่ายสงสัยมีกี่ราย และใช้วิธีการใด นพ.ศุภกิจกล่าวว่า เมื่อมีเคสสงสัยมาเราก็ตรวจ หากยังไม่มีผื่นก็เก็บตัวอย่างเชื้อจากจมูก เพื่อทำ RT-PCR แต่หากมีผื่นแล้วก็เก็บตัวอย่างจากผื่น ซึ่งมีโอกาสเจอเชื้อมากกว่า ดังนั้นหากผู้ที่มาจากแอฟริกา อังกฤษ ที่เริ่มมีไข้ มีความเสี่ยงสูงเราก็นำมาตรวจ แต่ช่วงที่เริ่มแพร่เชื้อคือช่วงที่ออกผื่น ซึ่งช่วงนั้นทำให้สังเกตได้ คนก็จะเลี่ยงการสัมผัสได้


กำลังโหลดความคิดเห็น