"หมอธีระวัฒน์" ชี้ต้องจับตา "ฝีดาษลิง" เป็นพิเศษ เหตุระบาดต่างจากหลายปีก่อน คาดแพร่ในชุมชน หาต้นตอไม่ได้ ติดได้ทั้งจากการไอ จาม ละอองฝอย เพศสัมพันธ์ เลือด สารคัดหลั่ง สัมผัสสิ่งของผู้ป่วย ต่างประเทศอาจติดจากเริ่มถอดแมสก์ เผย "ไข้" เป็นอาการหลัก ก่อนเกิดตุ่มตามมา เครื่องวัดอุณหภูมิที่สนามบินช่วยคัดกรองได้ ย้ำสวมหน้ากากจำเป็น
เมื่อวันที่ 23 พ.ค. ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ฝีดาษลิงยังไม่พบในไทย แต่ทั่วโลกกำลังจับตามอง รวมถึงไทยด้วย ถือเป็นไวรัสที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ เพราะการระบาดในช่วงนี้แตกต่างจากเมื่อปี 2018-2019 ซึ่งคนที่มาจากประเทศต้นตอในแอฟริกาและไปประเทศอื่นๆ เช่น อังกฤษ พบว่ามีการติดเชื้อเป็นกระจุก จากนั้นโรคก็สงบลง แต่ครั้งนี้แตกต่างจากเดิม เพราะมีการแพร่เร็วขึ้นไป 15 ประเทศใน 3 ทวีปแล้ว ยิ่งมีการเปิดประเทศยิ่งต้องระวัง อีกประการคือ คนที่ติดเชื้อรายแรกๆ ของประเทศ มีประวัติชัดเจนว่า มาจากประเทศต้นตอ แต่ผู้ป่วยหลังจากนั้นกลับกลายเป็นว่า หาประวัติสัมผัสโรคไม่ได้
"การติดเชื้อในอังกฤษคล้ายเป็นการแพร่ในชุมชน โดยที่รายต่อมาไม่ได้สัมผัสกับรายแรกและไม่ได้กลับจากพื้นที่ต้นตอ คือ คล้ายๆ โควิดที่มีการระบาดวงกว้างที่หาต้นตอไม่ได้ แสดงว่าอาจเป็นไปได้ที่ติดในชุมชน จึงต้องมีมาตรการเข้มงวดขึ้น" ศ.นพ.ธีระวัฒน์กล่าว
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวว่า ไวรัสตัวนี้ความสามารถในการแพร่ติดต่อยังอยู่ในระดับต่ำมาก ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่คลุกคลีจะติดทุกคน แต่ต้องกักตัว 21 วัน เมื่อทราบว่าได้สัมผัสเชื้อ โดยอาการจะเป็นไข้ก่อน ปวดหัวปวดเมื่อยปวดหลัง จากนั้นประมาณ 1 วันขึ้นไป หรืออาจ 3-4 วัน จะมีผื่นตุ่มหนองขึ้นบริเวณใบหน้า มือ แขนขา ลำตัว ซึ่งลักษณะแบบนี้คนที่ติดเชื้อและมีอาการจะรู้ตัวอยู่แล้ว เริ่มตั้งแต่มีไข้จึงควรจำกัดตัวเอง ไม่ไปสุงสิงกับผู้อื่นเลย และคนรอบๆ ก็สามารถสังเกตเห็นได้ ก็ต้องแยกตัวออกห่าง และเตือนให้คนนั้นรีบพบแพทย์ แต่ที่มีการติดเชื้อในต่างประเทศเข้าใจว่า อาจคิดว่าป่วยเป็นไข้หวัด เพราะมีอาการคล้ายกัน แม้แต่โควิดระยะหลังอาการก็ไม่รุนแรงอาจทำให้ชะล่าใจได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าโรคฝีดาษลิงที่ติดจากคนสู่คน จะติดต่อเหมือนโควิดหรือไม่ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวว่า ใช่ สามารถติดได้จากการไอ จาม พูดคุย มีละอองฝอยกระจาย แต่ยังติดต่อได้จากเพศสัมพันธ์ ทั้งเพศเดียวกันและต่างเพศ ติดจากเลือด สารคัดหลั่ง และมีรายงานว่าติดจากการสัมผัสสิ่งของของผู้ป่วยได้ ส่วนเชื้อจะอยู่บริเวณสิ่งของนานแค่ไหนยังไม่มีรายงานออกมา ต้องจับตามองต่อไป
ถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่า การติดเชื้อในต่างประเทศมาจากการไม่สวมหน้ากากอนามัย ทำให้ติดจากการพูดคุย ไอ จาม ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวว่า เป็นไปได้มาก เพราะในต่างประเทศบางแห่งเริ่มถอดแมสก์ เนื่องจากโควิดรุนแรงน้อยลง คนที่เริ่มมีอาการก็อาจคิดว่าไม่ติดฝีดาษลิง แต่คิดว่าเป็นหวัด หรือโควิดอาการไม่รุนแรง ที่สำคัญคือ แม้ไทยจะยังไม่พบโรคนี้ แต่ก็มีความเสี่ยงได้จากการเปิดประเทศ แต่ไม่เปิดก็ไม่ได้ ดังนั้น ต้องมีมาตรการรัดกุม โดยในส่วนของสนามบินเดิมจะตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิก่อนเข้ามา แต่มีช่วงหนึ่งที่โควิดเริ่มเปลี่ยนไปที่การวัดอุณหภูมิอาจไม่ใช่อาการหลัก แต่ฝีดาษลิง การเป็นไข้ถือเป็นอาการหลัก ดังนั้น เครื่องวัดอุณหภูมิจะช่วยคัดกรองได้อันดับแรกๆ รวมทั้งการสวมหน้ากากอนามัย ยังจำเป็นมาก เพราะไม่ใช่ป้องกันโควิด ป้องกันโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ฝีดาษลิงก็ยังช่วยได้