กรมควบคุมโรคยกระดับศูนย์ฉุกเฉิน "ฝีดาษลิง" เฝ้าระวังคนเดินทางจากประเทศเสี่ยงและประเทศระบาด ทั้งแอฟริกากลาง อังกฤษ สเปน โปรตุเกส ให้สังเกตแผลที่สนามบิน พร้อมแจกการ์ดแจ้งเตือนสุขภาพ ย้ำหากมาจากประเทศเสี่ยง มีไข้ มีตุ่มให้รายงานเข้าระบบ รีบไป รพ. พร้อมส่งตรวจหาเชื้อ เร่งจับตาข้อมูลระบาดในต่างประเทศปัจจัยทำติดเชื้อเร็ว
เมื่อวันที่ 23 พ.ค. นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผอ.กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวถึงการตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข (อีโอซี) กรณีโรคฝีดาษลิง (monkey pox) ว่า การจัดตั้งศูนย์ฯ ดังกล่าว เป็นศูนย์ระดับกรม เพื่อเฝ้าระวัง คัดกรองผู้เดินทางจากประเทศที่มีการระบาด ช่วยให้ตรวจจับกลุ่มเสี่ยงได้รวดเร็วขึ้น และป้องกันการแพร่ระบาดในประเทศ หลังพบการแพร่ระบาดในหลายประเทศ และสามารถติดต่อจากคนสู่คน ซึ่งไทยต้องรีบยกระดับศูนย์ขึ้นมา เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถรับมือได้ทัน เพราะโรคนี้ยังไม่มียารักษาเฉพาะ ต้องรักษาประคับประคอง แม้ในประเทศจะยังไม่มีผู้ติดเชื้อและไทยก็ไม่เคยเจอโรคนี้มาก่อนก็ตาม รวมถึงเพื่อเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ในต่างประเทศ ว่าแต่ละประเทศมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติม ที่พอจะบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศนั้นที่กำลังมีการระบาด มีการแพร่ระบาดถึงระดับไหน ซึ่งข้อมูลคงจะทยอยเข้ามา
นพ.จักรรัฐกล่าวว่า การเฝ้าระวังโรคภายในประเทศ คือ การเฝ้าระวังคนเดินทางจากประเทศ แต่เนื่องจากช่วงเริ่มต้นอาจไม่มีอาการหรืออาการน้อย ทำให้เมื่อมาถึงประเทศไทยที่ด่านสนามบินอาจจะไม่เห็นอาการ และอาจจะเกิดอาการเป็นตุ่มหนอง ตุ่มน้ำภายหลัง ดังนั้น จะให้มีการคัดกรองอาการในผู้เดินทางมากับไฟลท์บินจากประเทศที่มีความเสี่ยงสูงแถบแอฟริกากลาง เช่น ไนจีเรีย และคองโก และยุโรปที่มีการแพร่ระบาดในประเทศแล้ว คือ อังกฤษ สเปน และโปรตุเกส โดยจะดูว่ามีแผลอะไรหรือไม่ พร้อมแจกบัตรเตือนสุขภาพ (Health beware card) เป็นคิวอาร์โคดให้สแกนทุกคนที่เดินทางมาจากประเทศดังกล่าว ซึ่งในการ์ดจะระบุว่า หากมีอาการ เช่น ไข้ มีตุ่มให้รายงานเข้าระบบและรีบไปพบแพทย์ใน รพ.ที่ใกล้ที่สุด รวมถึงแจ้งประวัติการเดินทางจากประเทศกลุ่มเสี่ยงให้เจ้าหน้าที่ทราบด้วย
นอกจากนี้ จะเฝ้าระวังที่สถานพยาบาล หากพบผู้ป่วยที่เข้าข่ายสงสัย คือ มีอาการเข้าได้กับโรคและมีประวัติเดินทางจากประเทศเสี่ยงที่กำลังมีโรคนี้ระบาดข้างต้น ให้สถานพยาบาลเก็บตัวอย่างเพื่อส่งตรวจหาเชื้อ ซึ่งประเทศไทยตรวจเชื้อนี้ได้ที่ส่วนกลาง คือ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และรายงานเข้าระบบการเฝ้าระวัง อย่างไรก็ตาม หากมีผู้ติดเชื้อเข้าในประเทศไทย อาจจะต้องมีกระจายให้ศูนย์ในต่างจังหวัดช่วยตรวจ
เมื่อถามถึงการระบาดในยุโรป นพ.จักรรัฐ กล่าวอีกว่า โรคฝีดาษลิงมีประปรายในแอฟริกามานานหลายปีแล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่มีคนไปนำโรคออกมาจากภูมิภาคดังกล่าว ครั้งนี้มีคนไปนำโรคออกมา ไปติดเชื้อมาจากประเทศในแอฟริกาและบินกลับนำเชื้อเข้ามาในยุโรปทั้งอังกฤษ สเปน โปรตุเกส และไปสัมผัสใกล้ชิดกันมากกับผู้ที่ติดเชื้อจึงติดเชื้อกัน ซึ่งมีการติดเชื้อกันหลายกลุ่ม แต่กลุ่มที่มีการระบาดค่อนข้างมากใน 100 กว่าราย มีหลายคลัสเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชายรักชาย (MSM) แต่จริงๆ แพร่ได้หมดไม่ว่าจะเป็นใคร หากมีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ และกลุ่มผู้ติดเชื้อที่เจอในแต่ละประเทศในยุโรปยังไม่ได้เกี่ยวข้องกัน เป็นการนำเชื้อมาจากประเทศแถบแอฟริกา ซึ่งเมื่อหลุดออกมาจากแอฟริกาเข้ายุโรปแล้ว จากนี้ก็อาจจะเกิดการแพร่ข้ามประเทศในยุโรปกันเอง
ถามว่าต้องมีการปลูกฝีป้องกันฝีดาษใหม่หรือไม่ นพ.จักรรัฐ กล่าวว่า ยัง เพราะตอนนี้ทั่วโลกยังไม่มีวัคซีนฝีดาษคน (smallpox) มากขนาดนั้นแล้ว เพราะเป็นโรคที่ถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว จะมีเพียงบางประเทศที่ยังเก็บวัคซีนนี้ไว้ ในประเทศไทยไม่มี กำลังมีการประสานงานหาวัคซีนอยู่ว่ามีประเทศใดเก็บไว้บ้าง หรือถ้าจะผลิตเพิ่มก็ต้องดูว่ามีบริษัทใดจะผลิตเพิ่มได้ เพราะคงต้องใช้เชื้อ ซึ่งเชื้อ smallpox เดิมมีแค่ 2 ประเทศที่เก็บไว้ คือ สหรัฐอเมริกาและรัสเซีย แต่สามารถจำลองสายพันธุ์ออกมาทำวัคซีนได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวจริง ทั้งนี้ คนไทยที่เกิดก่อนปี 2523 จะได้รับการปลูกฝีป้องกันฝีดาษ (smallpox) ทุกคน แต่ที่เกิดหลังจากปี 2523 จะไม่ได้รับวัคซีนนี้เพราะโรคฝีดาษถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว
ถามต่อว่า ความเสี่ยงของการระบาดโรคฝีดาษลิงจะเป็นระดับเดียวกับโควิดหรือไม่ นพ.จักรรัฐ กล่าวว่า น่าจะต่างกัน เพราะโควิดแพร่กระจายได้เร็ว แล้วแต่สายพันธุ์ ส่วนฝีดาษลิง เท่าที่ดูช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาก็แพร่กระจายได้ค่อนข้างเร็ว จะต้องติดตามสถานการณ์และข้อมูลเพิ่มขึ้นว่า กลไกในการติดเชื้อนอกจากการอยู่ใกล้ชิดแล้ว มีกลไกอื่นอีกหรือไม่ ต้องติดตามข้อมูลเพิ่มขึ้นพอสมควรอย่างใกล้ชิด เพราะตอนนี้มีข้อมูลน้อยมาก ทั่วโลกรายงานผู้ติดเชื้อเพียง 100 ราย ส่วนสายพันธุ์แตกต่างจากที่เคยเจอหรือไม่ต้องติดตาม