โควิดเริ่มลด “อีสาน” จัดบุญบั้งไฟใหญ่ เหล้า-พนันเพียบ อัปเกรดเป็นพนันออนไลน์ ไร้กลไกกำกับควบคุม ทำเงินสะพัด ซ้ำพ่วงอิทธิพล ผลประโยชน์ในพื้นที่ ทำคุมเข้มบั้งไฟปลอิดภัย ปลอดโควิด ปลอดเหล้า ปลอดพนันยากขึ้น
เมื่อวันที่ 12 พ.ย. สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาออนไลน์ “ควบคุมปัจจัยเสี่ยงในช่วงเทศกาลบุญบั้งไฟ 2565" โดย นายวิษณุ ศรีทะวงศ์ ผู้จัดการแผนนโยบายสาธารณะ สคล. กล่าวว่า โควิดระบาดมา 2 ปี มีการงดจัดประเพณีบั้งไฟ แต่ปีนี้อนุมัติให้จัด พ.ค. หลายพื้นที่จัดยิ่งใหญ่ มีการดื่มเหล้า เล่นพนันตามเดิม ซึ่งก่อนหน้านี้มีงานวิจัยของจุฬาฯ พบเงินสะพัดกว่า 5 หมื่นล้านบาท แต่ตอนนี้ไปไกลกว่า เพราะมีพนันออนไลน์ ไม่ขานเวลา แต่ขานคะแนน ธุรกิจแอลกอฮอล์ส่งเสริมการขาย เริ่มพบการดื่มในขบวนแห่ แม้กฎหมายห้าม เพราะกลไกบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ทำหน้าที่ ที่ผ่านมาภาคประชาชนหน่วยงานต่างๆ พยายามรณรงค์ลด ละ เลิกพนันบั้งไฟและดื่มเหล้า แต่ไม่เพียงพอ เพราะเกี่ยวข้องผลประโยชน์และอิทธิพลในพื้นที่ นายอำเภอบางอำเภอหรือตำรวจต้องถูกย้าย แต่ก็จะรณรงค์ต่อไป
นายวิษณุกล่าวว่า หลายพื้นที่ก้าวหน้า ประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน ทำกติกาชุมชน เช่น ศรีสะเกษยกระดับสู่กลไก พชอ. MOU 22 อำเภอ ทำบั้งไฟปลอดโควิด ปลอดเหล้า ปลอดการพนัน ขณะที่พื้นที่จัดงานขนาดใหญ่ทั่วภาคอีสาน มีการขับเคลื่อนไปแล้วกว่า 36 พื้นที่ แต่เทียบสัดส่วนแล้วยังถือว่าน้อย ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่ามากกว่า 70% เห็นด้วยจัดบุญบั้งไฟปลอดเหล้า ปลอดพนัน ไม่ควรรับสปอนเซอร์ธุรกิจน้ำเมา และอย่าลืมว่าการรวมกลุ่มจำนวนมากมีความเสี่ยงเกิดคลัสเตอร์โควิด โดยเฉพาะวงเหล้า แม้ปัจจุบันอาการไม่รุนแรง แต่ยังมีผลกระทบจากภาวะลองโควิด
“เราเห็นว่างานเปลี่ยนได้เพื่อให้เกิดความปลอดภัย เน้นคุณค่าความหมายของงานประเพณี กำหนดขนาดบั้งไฟไม่ให้ใหญ่เกินไป ทำฐานจุดปลอดภัย พื้นที่เขตปลอดภัย ติดร่มชูชีพที่บั้งไฟ ทำประกันอัคคีภัย กำหนดเขตห้ามดื่ม ห้ามขายเหล้า และเพื่อไม่ให้มีการเล่นพนัน ต้องมีนโยบายไม่ขานเวลา ไม่ขานคะแนน ตำรวจดูแลเข้ม สำคัญคือมีนโยบายที่เข้มแข็ง ที่ผ่านมาตีบตันที่คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายจังหวัดแทบไม่เคยประชุม ทำให้นโยบายที่เข้มแข็งไม่สามารถทำต่อได้ ต้องมีมาตรการเชิงรุกจัดการความเสี่ยง รณรงค์สื่อสารต่อเนื่อง ดึงชุมชนมีส่วนร่วม ทำวัฒนธรรมร่วมสมัย ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ไม่ปล่อยให้ภาคประชาชนโดดเดี่ยว” นายวิษณุ กล่าว
นายมานพ แย้มอุทัย ผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. กล่าวว่า บุญบั้งไฟเป็นเทศกาลสวยงาม เป็นกุศโลบายสร้างความสามัคคีขอฝนของชาวอีสาน ก่อนขยายไปยังภูมิภาคต่างๆ ที่ชาวอีสานไปทำงาน ที่น่าห่วงคือภูมิภาคอื่นจุดบั้งไฟตามวัฒนธรรมอย่างแท้จริง แต่ภาคอีสานคนอีสานแท้ๆ กลับเล่นพนัน ทะเลาะวิวาทจากน้ำเมา แนวความคิดคนถูกเปลี่ยนแปลง เช่น วัยรุ่นอีสานระบุว่าวาเลนไทน์ไม่เท่าไร แต่บุญบั้งไฟถึงไหนถึงกัน สะท้อนว่าบุญประเพณีถูกกลายพันธุ์ ความงดงามหายไป และกังวลว่าจะรุนแรงขึ้น ดังนั้น ต้องระมัดระวังช่วงหลังพ้นการระบาดของโควิด ปัญหาเหล่านี้จะกลับมาและรุนแรงขึ้น ต้องเฝ้าวังและสกัดปัญหาเข้มข้น คิดถึงความปลอดภัยการเดินทางทางอากาศด้วย ควรกำหนดมาตรฐานการผลิตบั้งไฟจุดขึ้นฟ้าในความสูงไม่เกิน 30 เมตร และกำกับติดตามให้เป็นไปตามประเพณี อยากให้ประเพณีที่งดงามนี้อยู่ไปนานๆ
ด้าน นายปรีชา แสนรัตน์ ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า จ.ร้อยเอ็ด กล่าวว่า ร้อยเอ็ดขณะนี้น่ากังวลมาก เนื่องจากผู้มีอำนาจปล่อยทุกอย่าง อนุญาตให้มีทั้งรถแห่ คอนเสิร์ต หมอลำ ฟรีสไตล์ ดื่มเหล้า หากอำเภอไหนไม่อนุญาตจัดหรือคุมเข้มจะถูกประท้วงกดดัน กว่า 90% ของการจัดบั้งไฟเกี่ยวกับอิทธิพล และผลประโยชน์มหาศาล ซึ่งตนเห็นและต่อสู้มาตลอด พบว่ามีกระบวนการล็อบบี้ผู้มีอำนาจ จัดประชาคมเพื่อผลักดันให้จัดประเพณีให้ได้ สนับสนุนเงินทำกิจกรรมรถแห่ วงดนตรี จัดเตรียมพื้นที่ ทำให้มีเงินสะพัดมหาศาล มีบ่อนวิ่ง บ่อนลอย ดื่มกิน โดยเฉพาะปีนี้มีการเล่นโคลนโดยไม่สนหน้ากากอนามัย ทำให้หลายพื้นที่พบติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้น ที่ผ่านมาเคยอัดคลิปวิดีโอร้องเรียน แต่มีขบวนการช่วยเหลือโต้แย้งว่าเป็นการจ่ายเงินซื้อวัว ไม่ใช่เงินเล่นพนัน ทำให้ปัญหาพนันบั้งไฟไม่ถูกแก้ไข
นายบำรุง เป็นสุข ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคอีสานตอนล่าง กล่าวว่า บุญบั้งไฟระยะหลังมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เกิดความรุนแรงและอุบัติเหตุ ข้อมูลช่วง 1 เดือนที่มีประเพณี พบอุบัติเหตุมากกว่าปีใหม่และสงกรานต์รวมกัน นอกจากนี้ ทำให้เกิดการแข่งขันผลิตบั้งไฟและนำไปสู่การเล่นพนัน เป็นการลดแก่นแท้ของประเพณีที่ต้องการให้เกิดความรัก สามัคคี และสร้างขวัญกำลังใจ เพื่อผ่านปัญหาฝนแล้ง จึงต้องควบคุมจริงจัง ผลักดันให้จำกัดเวลา จัดประเพณีไม่นาน ลดขนาดบั้งไฟ ไม่ให้จับเวลา ประกาศเวลา เชื่อว่าเมื่อประเพณีที่มีความปลอดภัย จะส่งเสริมให้คนมาท่องเที่ยวมากขึ้น