xs
xsm
sm
md
lg

สสส.เผยหญิงไทยถูกละเมิดทางเพศ-กระทำความรุนแรง มากกว่า 7 คนต่อวัน เข้ารับการบำบัดรักษา-แจ้งความร้องทุกข์ 3 หมื่นคนต่อปี สูงติดอันดับโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สสส. พบ หญิงไทยถูกละเมิดทางเพศ-กระทำความรุนแรง มากกว่า 7 คนต่อวัน เข้ารับการบำบัดรักษา-แจ้งความร้องทุกข์ 30,000 คนต่อปี สูงติดอันดับโลก ขณะที่ผู้หญิงจังหวัดชายแดนใต้ ต้องเผชิญการถูกลิดรอนจำกัดสิทธิ-กีดกันการมีส่วนร่วม-ถูกมองเป็นเพียงไม้ประดับ ไร้ปากเสียง ไม่มีอำนาจตัดสินใจ
วันนี้ (8 มี.ค.) นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส. ) กล่าวว่า สสส. ขับเคลื่อนงานด้านสิทธิผู้หญิงผ่านยุทธศาสตร์สุขภาวะผู้หญิง ซึ่งการที่จะทำให้ผู้หญิงมีสุขภาวะที่ดีได้ จำเป็นต้องปลดล็อกปัญหาสำคัญเรื่องสิทธิพื้นฐาน สสส. จึงสนับสนุนสิทธิสุขภาพในมิติต่างๆ เช่น สิทธิในการเข้าถึงบริการสุขภาพ สิทธิในการปกป้องคุ้มครองตนเองให้รอดพ้นจากความรุนแรงในทุกมิติ โดยเน้นกลุ่มผู้หญิงที่มีลักษณะทางกายภาพ หรือวัฒนธรรมเฉพาะที่เป็นชายขอบ ได้แก่ ผู้หญิงพิการ ผู้หญิงมุสลิม ผู้หญิงชาติพันธุ์ และกลุ่มผู้หญิงที่ด้อยโอกาส หรือถูกเลือกปฏิบัติ ได้แก่ ผู้หญิงต้องขัง ผู้หญิงบริการ และผู้หญิงรักผู้หญิง เพื่อวิเคราะห์ช่องว่างในการพัฒนาสุขภาวะและคุณภาพชีวิตของผู้หญิงกลุ่มเฉพาะ/ชายขอบหรือด้อยโอกาส จึงพบว่า ผู้หญิงเป็นกลุ่มประชากรที่เผชิญความเหลื่อมล้ำในสังคมสูง จากอคติทางเพศที่ฝังในระบบคิด ติดอยู่ในจารีต และการปฏิบัติในวัฒนธรรมจนส่งผลต่อสุขภาวะผู้หญิง ทำให้เข้าไม่ถึงโอกาสทางสังคม เศรษฐกิจ และอำนาจการตัดสินใจในเรื่องส่วนตัว ครอบครัว และนโยบายสาธารณะ ที่กำหนดชะตาชีวิต

นางภรณี กล่าวต่อว่า ผู้หญิงทุกสังคมต้องเผชิญปัญหาความรุนแรงในครอบครัว และความรุนแรงทางเพศต่อเนื่อง ประเทศไทยมีสถิติความรุนแรงต่อผู้หญิงสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก พบว่า ผู้หญิงถูกละเมิดทางเพศ ถูกกระทำความรุนแรงทางร่างกายหรือจิตใจ ไม่น้อยกว่า 7 คน/วัน และมีสถิติผู้หญิงที่เข้ารับการบำบัดรักษา แจ้งความร้องทุกข์ประมาณปีละ 30,000 คน ขณะที่รายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) พบว่า กว่าร้อยละ 87 ของคดีการถูกล่วงละเมิดทางเพศไม่เคยถูกรายงาน และจากการสำรวจสถานการณ์ความรุนแรงต่อผู้หญิง และบุคคลในครอบครัวของไทยระดับประเทศ พบความชุกของความรุนแรงต่อผู้หญิงและบุคคลในครอบครัว เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 34.6 ในปี 2560 เป็นร้อยละ 42.2 ในปี 2563 โดยประเภทความรุนแรงสูงสุด คือ ความรุนแรงทางด้านจิตใจ คิดเป็นร้อยละ 32.3 รองลงมา คือ ความรุนแรงทางร่างกายร้อยละ 9.9 และความรุนแรงทางเพศร้อยละ 4.5

“เนื่องในวันสตรีสากล 8 มีนาคม สสส. หวังว่า นอกเหนือจากการส่งเสริมสิทธิและความเสมอภาคของสตรีแล้ว ทุกภาคส่วนควรร่วมกันลด และขจัดความรุนแรงต่อผู้หญิงในรูปแบบต่างๆ อาทิ ความรุนแรงในครอบครัว การข่มขืน ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals-SDGs) ของสหประชาชาติ ที่ระบุให้การขจัดความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กหญิง ทั้งในที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัว เป็นเป้าหมายที่ประเทศต่างๆ ต้องให้ความสำคัญและทำให้บรรลุเป้าหมาย และจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ต้องเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจ ตกงาน มีภาระหนี้สิน ทำให้เกิดความเครียดสะสม และความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มสูงขึ้น สสส. ร่วมกับ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประจำประเทศไทย จึงเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่แสดงความเห็นร่วมหาทางออกจากปัญหาดังกล่าวร่วมกัน โดยประกาศรับสมัครเยาวชนรุ่นใหม่ และผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมในช่วงปลายเดือนมีนาคม-เมษายน 2565 สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.นับเราด้วยคน.com” นางภรณี กล่าว

นางสาววรรณกนก เปาะอิแตดาโอะ นายกสมาคมเด็กและเยาวชนเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ ในฐานะแกนนำกลุ่มลูกเหรียง กล่าวว่า เคยเหยื่อความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้ ต้องสูญเสียสมาชิกในครอบครัว 4 คน จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ และเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว และมีจำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรง ทำให้ผู้หญิงในพื้นที่ต้องเผชิญ 3 ปัญหา ได้แก่ 1. การถูกลิดรอนสิทธิ ถูกจำกัดสิทธิต่างๆ เช่น การเข้าไปมีส่วนร่วมระดับกลไกของรัฐ หรือระดับการเมืองท้องถิ่น ในการช่วยตัดสินใจ ช่วยแก้ปัญหา ซึ่งส่วนใหญ่ถูกมองว่าควรเป็นเรื่องของผู้ชาย 2. สถานการณ์โควิด-19 ทำให้ความรุนแรงในครอบครัวสูง การหย่าร้างเพิ่มขึ้น กรณีเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นเรื่องในครอบครัว คนนอกไม่ควรยุ่ง ขณะที่มีผู้หญิงจำนวนมากกล้าหาญไปขอความยุติธรรมจากหน่วยงาน แต่จะถูกบอกว่าให้อดทน และ 3. การไม่ยอมรับให้ผู้หญิงเป็นผู้นำ ทั้งที่ในพื้นที่ผู้ชายน้อยลงจากการเสียชีวิตในเหตุการณ์ความไม่สงบ หลบหนีกระบวนการยุติธรรม หรือเจอคดียาเสพติด ทำให้สัดส่วนผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่ในระดับการตัดสินใจหรือกลไกต่างๆ กลับให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมเพียงร้อยละ 0.05 สะท้อนการให้โอกาสที่น้อยมาก

นางสาววรรณกนก กล่าวต่อว่า การทำงานจุดประกายสิทธิผู้หญิงในชุมชน กลุ่มลูกเหรียงเป็นองค์กรภาคประชาสังคม ก่อตั้งเป็นปีที่ 20 ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ทำงานกับผู้หญิงที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ผู้นำที่เป็นผู้หญิง และเด็กผู้หญิง เพื่อให้เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาที่ดีให้ได้มากที่สุด บนพื้นฐานที่เชื่อว่า เมื่อมีการศึกษาจะมีทางเลือกในชีวิตมากขึ้น ปัจจุบันพบสัดส่วนผู้หญิงในระบบการศึกษาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้สูงกว่าผู้ชาย นอกจากนี้ ได้ทำงานร่วมกับผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงมุสลิม เช่น การเสริมศักยภาพองค์ความรู้ ผลักดันให้เป็นแกนนำ เพื่อไปอยู่ในกลไกต่างๆ สนับสนุนให้ผู้หญิงลงเลือกตั้งการเมืองท้องถิ่น และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และกว่าที่กลุ่มลูกเหรียงจะได้รับการยอมรับในพื้นที่ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องทำงานพิสูจน์ตัวเอง ทำหน้าที่เป็นองค์กรช่วยเหลือเด็กและผู้หญิงอย่างจริงจังต่อเนื่อง ทำให้ช่วยเหลือได้มากกว่า 6 หมื่นคน เช่น เด็กที่อยู่ในภาวะยากลำบาก ผู้หญิงที่หย่าร้าง อาชีพของผู้หญิง และความรุนแรงจากเหตุการณ์ความไม่สงบ หรือความรุนแรงทางเพศ โดยแต่ละเดือนกลุ่มลูกเหรียงจะมีเคสให้ดูแล ติดตามกว่า 100 คน นอกจากนี้ ยังได้ขับเคลื่อนงานสุขภาวะเด็กเยาวชนและครอบครัวในพื้นที่ชายแดนใต้ใน จ.ยะลาร่วมกับ สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว (สำนัก 4) สสส. อย่างต่อเนื่อง มุ่งเป้าให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่มีสุขภาวะที่ดี เปิดโอกาสให้ชุมชนสร้างทีมทำงานเพื่อเด็กและเยาวชน เสริมพลัง และความมั่นคงทางเศรษฐกิจแก่ครอบครัว รวมถึงหนุนเสริมกิจกรรมที่เอื้อต่อการสร้างสุขภาวะ ตามแนวทางของภารกิจบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อสร้างระบบนิเวศรอบตัวเด็กให้เอื้อต่อการสร้างสุขภาวะ โดยใช้หลัก “ชุมชนนำ” ดึงทุกภาคส่วนในชุมชนเข้ามาช่วยขับเคลื่อน จนเกิดผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับเด็ก ทั้งเรื่องการสร้างความตระหนักเรื่องการแต่งงานของเด็กหญิง การปกป้องเด็กจากอันตราย การส่งเสริมให้เด็กได้รับวัคซีน การส่งเสริมพัฒนาการเด็กตามช่วงวัย ส่งเสริมการอ่านนิทานเพื่อพัฒนาสมอง และสร้างสัมพันธภาพในครอบครัว สะท้อนบทบาทการขับเคลื่อนจากพลังสตรีอย่างแท้จริงในพื้นที่ชายแดนใต้

“พวกเราจึงจัดตั้งกลุ่มผู้หญิงที่ให้คำปรึกษา และช่วยเหลือสำหรับผู้หญิงที่ต้องการเข้าถึงความยุติธรรม เพราะเราไม่อยากเป็นแค่องค์ประกอบ ที่ผ่านมาคนชอบบอกว่าก็มีตัวแทนผู้หญิงแล้ว แต่ในความจริงเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เราต้องการมีตัวแทนผู้หญิงในสัดส่วนที่มากขึ้นเพื่อที่จะตัดสินใจร่วมกันได้ โดยเคารพความเป็นมนุษย์เท่ากัน ไม่ใช่เป็นเพียงไม้ประดับ ไม่ได้เป็นตัวจริง การทำงานเป็นผู้นำสตรีในพื้นที่เป็นสิ่งที่ยาก กว่าจะพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับได้ ผู้ชายทำงานเพียง 10 ผู้หญิงต้องทำงาน 100-200 จึงทำให้ยอมรับได้โดยไม่มีข้อกังขา ส่วนตัวต้องเผชิญกับการที่ผู้ชายไม่ยอมรับให้เป็นผู้นำ กว่าจะทำให้ยอมรับได้ต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี และกว่าจะทำให้ผู้หญิงในพื้นที่มั่นใจในตัวเอง กล้าออกมาส่งเสียง ต้องเข้าไปทำงานร่วมกับเขา 4-5 ปี ซึ่งปัญหาอุปสรรคยังเป็นเรื่องความเชื่อที่แข็งแรงของผู้ชาย ว่า ผู้นำต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น จึงเป็นประเด็นที่จะต้องทำงานเพื่อเปลี่ยน












กำลังโหลดความคิดเห็น