xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตของ ‘เด็ก’ อายุ 24 / ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เจ้าลูกชายคนโต "สรวง สิทธิสมาน" เป็นคนที่ชอบวางแผนตั้งแต่เล็ก มีแผนที่ชีวิตในการก้าวเดินและคิดเยอะ เพิ่งผ่านพ้นวัย 24 ปี ชีวิตครุ่นคิดบทใหม่จึงเกิดขึ้น !

........

เคยเล่นไพ่ป๊อกเด้งกันไหมครับ ?

ถ้าเคย…แล้วเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ไหม ?

สถานการณ์ที่เจ้ามือแจกไพ่มาแล้วเราได้ “4 แต้ม 2 เด้ง” ทำให้เราลังเลและคิดหนักว่าจะ “จั่วเพิ่ม” หรือจะ “อยู่” ดี ถ้าจั่วเพิ่มแล้วได้ไพ่ตั้งแต่เลข 6 ขึ้นไป ก็จะบอด หรือได้แต้มลดลง ถ้าจั่วได้ไพ่ตั้งแต่เลข 5 ลงไป ก็จะได้แต้มเพิ่มขึ้น ถ้าโชคดีก็เพิ่มขึ้นมากหน่อย ถ้าโชคร้ายก็จะเพิ่มขึ้นน้อยจนแทบไม่มีผลอะไร โอกาสที่แต้มในมือจะเพิ่มหรือลดลงนั้นอยู่ที่ 50 ต่อ 50 นี่ยังไม่รวมไพ่ฝรั่งที่มีค่าเท่ากับศูนย์ เราจะจั่วลุ้นแต้มเพิ่มหน่อยดีไหม หรือจะอยู่แล้วลุ้นให้เจ้ามือบอด แล้วเรากินเด้งดี ?

คุณเคยมีความรู้สึกลังเลแบบนี้ไหม ?

ถ้าเคย…นั่นและครับ…คือความรู้สึกของ “เด็ก” ที่มีอายุเป็นตัวเลขประกอบกันระหว่างเลข 4 และเลข 2 ที่รวมกันเป็นเลข 24

ผมหมายถึง “เด็กอายุ 24 ปี” นั่นเอง !

ที่เกริ่นมาคงเป็นน้ำเสียส่วนมาก เอาล่ะ.. เข้าเรื่อง ใช่แล้วครับ ผมเพิ่งจะเข้าสู่วัย 24 และถึงแม้เราจะ set เป้าหมายและวางแผนสำหรับอนาคตไว้เป็นระบบอย่างไร แต่ลึก ๆ แล้ว ผมก็กำลังมีความรู้สึกลังเลอยู่ไม่น้อย เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับการได้ไพ่ 4 แต้ม 2 เด้งเลยครับ

สิ่งที่ผมลังเลจนถึงขั้นหนักใจก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรครับ ก็แค่เรื่องอาชีพการงาน และเรื่องการแต่งงานเท่านั้นเองครับ

ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่ไหนเลยใช่ไหมล่ะครับ ฮ่าฮ่าา

ว่ากันว่าวัย 30 ปีบวกลบคือวัยที่เหมาะสำหรับการแต่งงานและเริ่มต้นสร้างครอบครัว ซึ่งหากว่ากันตามหลักนี้ ผมก็ยังมีเวลาตัดสินใจอีกประมาณ 6 ปี ก่อนจะเข้าสู่วัยสร้างครอบครัว ซึ่งแม้ว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันที่อายุ 24 เท่าผมบางคนได้แต่งงานกันไปบ้างแล้ว บางคู่ถึงขั้นก็มีลูกน้อยให้คนเป็นพ่อแม่ได้ถ่ายอวดลงไอจีสตอรี่ แต่หากเทียบเป็นสัดส่วน ผมเชื่อว่าคนรุ่นเดียวกันส่วนใหญ่คนยังคงมองว่าการแต่งงานหรือการสร้างครอบครัวนั้นเป็นเรื่องไกลตัว

ผมและคนรุ่นเดียวกันหลาย ๆ คนก็เพิ่งจะพ้นรั้วมหาวิทยาลัยและกำลังเข้าสู่ชีวิตวัยทำงาน วัยที่ได้พบกับความเป็นจริงนอกห้องเรียน วัยที่จะว่าเด็กก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่ก็ไม่เชิง วัยที่มีอีโก้สูงจนอยากจะเลิกขอเงินพ่อแม่ใช้ แต่เงินเดือนที่ได้จากการทำงานก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไม่สามารถต่อสู้กับค่าครองชีพในสังคมเมือง บางคนเดินอย่างไร้จุดหมาย บางคนยังไม่ออกจากจุดสตาร์ทเสียด้วยซ้ำ

สำหรับเรื่องการงาน ตัวผมเองมีเป้าหมายและแผนการคร่าว ๆ เอาไว้อยู่แล้ว แต่ก็ต้องบอกตามตรงว่าลึก ๆ ภายในใจผมก็แอบตั้งคำถามอยู่เหมือนกันว่านี่คือสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ หรือไม่ ผมก็ได้แต่หวังว่าคำตอบนั้นคือ “ใช่ มันคือสิ่งที่ผมต้องการ” เพราะหากมันไม่ใช่ และรู้ตัวสายเกินไป ผมอาจต้องเดินออกมา แล้วหาหนทางเริ่มต้นใหม่ ซึ่งก็คงจะเสียเวลาไปไม่น้อยเลยทีเดียว

สำหรับชีวิตที่ก้าวไปข้างหน้า การจะเดินไปข้างหน้าแต่ละก้าวนั้น เราอาจจำเป็นต้องทิ้งบางสิ่งเอาไว้ข้างหลัง แม้ว่าจะอยากเก็บมันไว้เพียงใดก็ตาม แต่การไม่เดินไปข้างหน้า แล้วหยุดนิ่งอยู่เฉย ๆ นั่นก็จะทำให้เรากลายเป็นสิ่งที่ถูกทิ้งอยู่ข้างหลังแทน

บางครั้งชีวิตก็เหมือนจะมีทางเลือก บางครั้งก็เหมือนจะมีแค่ทางเดียว ตื่นมาตอนเช้าเราอาจเลือกเดินในเส้นทางหนึ่ง แต่เมื่อตกดึกก่อนนอนเราอาจนึกลังเลขึ้นมา

จะว่าไป เวลานั้นไหลผ่านไปเร็วเหมือนกับสายน้ำเหมือนกันนะครับ อายุ 24 ปี เหลืออีกแค่ 1 ปี ก็จะเข้าสู่ช่วงเบญจเพสแล้ว ซึ่งจะว่าไป มันก็ไม่ได้ไกลจากวัยแต่งงานนักเลย เพราะถ้าว่ากันตามมาตรฐานสมัยใหม่ ก่อนคู่บ่าวสาวรุ่นใหม่จะแต่งงานกัน โดยมากจะต้องผ่านกระบวนการคบหาดูใจก่อนสักระยะ บางคู่อาจจะแค่ 1-2 ปี หรือบางคู่อาจจะมากกว่า 5 ปี ซึ่งในระหว่างนั้น ก็ต้องพาไปพบปะรับประทานอาหารกับว่าที่พ่อตา-แม่ยาย ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าการจะได้รับการ approve จากพ่อของฝ่ายเจ้าสาวหรือแม่ของเจ้าบ่าวนั้นก็ถือเป็นงานหินพอตัว เมื่อผ่านด่านพ่อตา-แม่ยายแล้วก็ต้องมาเผชิญกับสาระสำคัญของการแต่งงานจริง ๆ ผมไม่ได้หมายถึงค่าสินสอดนะครับ ผมหมายถึงความพร้อมในการที่จะแต่งงานมีครอบครัวเป็นของตัวเองนี่แหละครับ ทั้งในด้านการเงิน ความมั่นคง และความรัก หากพร้อม ก็แต่งได้เลยครับ

ย้อนกลับไปอีกนิด สมัยนี้หากจะแต่งงานก็ต้องคบหาดูใจกันก่อน ลองตั้งเอาไว้ว่าคบหากันสักประมาณ 3 ปีแล้วค่อยแต่ง และถ้าหากเราตั้งใจเอาไว้ว่าจะแต่งงานตอนอายุ 29 หมายความว่า ตัวเราก็ต้องเริ่มคบหาดูใจตั้งแต่อายุประมาณ 26 ถ้าหากว่าเลิกกันไปหลังจากคบกัน 2 ปี ก็จะต้องกลับมาเริ่มใหม่กับคนอื่น ซึ่งก็อาจจะต้องใช้เวลาสักช่วง เพื่อเริ่มคบหาดูใจกับคนใหม่ และอาจทำให้การแต่งงานล่าช้า

ขณะนี้ ตัวผมอายุ 24 และถ้าหากคิดจะแต่งงานช่วงอายุประมาณ 30 ปี ก็เท่ากับว่าต้องเผื่อเวลาคบหาดูใจด้วยสัก 2-3 ปี ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกว่าอายุ 24 นั้นไม่ได้ไกลจากเรื่องการแต่งงานมากขนาดนั้นแล้ว ผมเคยพูดคุยเรื่องนี้กับเพื่อนผู้หญิงบางคนที่อายุมากกว่าผมสักประมาณ 1-2 ปี เขาบอกว่าตอนนี้เขาอยากมีแฟนแบบจริงจัง เพราะอายุเท่านี้แล้ว ไม่มีเวลามาคุยกับใครเล่น ๆ แล้ว

นี่ยังไม่ต้องพูดถึงขั้นตอนต่อไป คือการมีลูกหรอกนะครับ ช่วงนี้ยิ่งเกิดเป็นกระแสในหมู่หนุ่มสาวที่นิยมไม่มีลูก เพื่อชีวิตอิสระ ไร้ซึ่งภาระความรับผิดชอบ หรือบางคนก็ให้เหตุผลว่าสภาพสังคมในตอนนี้ไม่เหมาะกับการมีลูกเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อยิ่งคิดถึงอนาคต ยิ่งทำให้ตัวผมรู้สึกว่าชีวิตวัย 24 นี้ความรับผิดชอบของคนคนหนึ่งค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น และมีหลายสิ่งที่ต้องตัดสินใจ เพราะมันเริ่มไม่ใช่วัยที่จะมานั่งลองผิดลองถูกแล้ว ทั้งในเรื่องการงานและเรื่องความสัมพันธ์ มันคือวัยที่ถ้าหากมัวแต่ลองผิดลองถูกก็มีแต่จะต้องเสียเวลา เสียเงินเสียทองไปเปล่า ๆ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ตัวเราเองต้องลุ้นกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะกำหนดชะตาชีวิตในอีก 10-20 ปีข้างหน้า หากตัดสินใจพลาด ก็อาจต้องเสียเวลาเสียใจในภายหลังได้

ลุ้นเหมือนกับการนั่งลุ้นในวงไพ่เลยล่ะครับ

อย่างไรก็ตาม หากชีวิตของเราคือการเรียนรู้ วัย 24 ก็ยังถือว่าเป็นวัยเรียนรู้เช่นกัน เรียนรู้ในการเป็นผู้ตาม เรียนรู้ในการรับผิดชอบ เรียนรู้ในการ commit เรียนรู้ในการตัดสินใจ

ถึงอย่างไร ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความรู้สึกของการเป็นเด็กอายุ 24 ปีนั้น ทำให้รู้สึกเหมือนเล่นป๊อกเด้งแล้วได้ “4 แต้ม 2 เด้ง” ไม่มีผิด


กำลังโหลดความคิดเห็น