สธ.ปรับวิธีรายงานสถานการณ์ "โควิด" เน้นยอดป่วยหนัก-ดับ บ่งบอกสถานการณ์ เผยแนวโน้มยังคงตัว ส่วนติดเชื้อให้ดูค่าเฉลี่ย 7 วัน เผย 23 จังหวัด ยังแนวโน้มติดเชื้อสูง ต้องป้องกันตนเองเพิ่มขึ้น ส่วน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมากลุ่มเโดติดเชื้อสูง ทั้งจากในครอบครัว โรงเรียน ชุมชน ย้ำเว้นระยะห่างหวั่นติดสูงอายุทำอาการรุนแรง แนะเร่งมาฉีดวัคซีนป้องกัน พร้อมแจงเหตุผล Test&Go ต้องตรวจ RT-PCR ถึง 3 ครั้ง
เมื่อวันที่ 10 ก.พ. นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผอ.กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โควิด 19 ว่า สถานการณ์ทั่วโลกติดเชื้อรายใหม่ 2.4 ล้านราย สะสม 403 ล้านราย เสียชีวิต 1.1 หมื่นราย สะสม 5.79 ล้านราย แนวโน้มถือว่าลดลง สำหรับสหรัฐอเมริกาและยุโรปแม้จะเริ่มลดลง แต่ยังรายงานผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ดังนั้น หากจะเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาต้องติดตามสถานการณ์ด้วย ส่วนเอเชีย เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ มีการติดเชื้อรายงานมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับประเทศไทยเรารายงานสถานการณ์ในรูปแบบที่ให้เกิดความรู้ความเข้าใจมากขึ้น โดยขอให้สนใจตัวเลขผู้ป่วยปอดอักเสบและการเสียชีวิตมากกว่าการติดเชื้อรายวัน เนื่องจากสายพันธุ์โอมิครอน อาการค่อนข้างน้อย โอกาสพบผู้ติดเชื้ออาการรุนแรงมีไม่มาก
วันนี้ประเทศไทยรายงานผู้ป่วยปอดอักเสบ 563 ราย เพิ่มขึ้น 16 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 114 ราย เพิ่มขึ้น 3 ราย แนวโน้มยังดูสูงขึ้นไปอยู่ แต่ถ้าเทียบกับเมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2564 ที่มีการติดเชื้อสูงสุดของประเทศไทย คือ 2.3 หมื่นกว่าราย ช่วงนั้นมีผู้ป่วยปอดอักเสบประมาณ 5.6 พันราย และใส่ท่อช่วยหายใจ 1,111 ราย ขณะนี้เราอยู่ประมาณ 1 ใน 10 ของยอดสูงสุดเมื่อปีที่แล้ว ส่วนเสียชีวิตวันนี้รายงาน 20 ราย เป็นกลุ่มผู้สูงวัย มีโรคเรื้อรังทั้งหมด โดยมีเพียงรายเดียวที่รับบูสเตอร์โดส แต่รับเพียง 13 วัน ซึ่งอาจยังสร้างภูมิคุ้มกันไม่ทัน ดังนั้นผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตยังอยู่ในแนวโน้มคงตัว ไม่ได้เพิ่มขึ้นสูงมาก โดย 20 ราย อยู่ในเกณฑืที่ศักยภาพทางการแพทย์รองรับได้
ส่วนผู้ติดเชื้อรายวันอยากให้ทราบว่า ต้องใช้วิธีการติดตามสถานการณ์รายวันแบบเฉลี่ย 7 วัน เพื่อให้เห็นภาพว่าสัปดาห์หนึ่งมีการติดเชื้อเท่าไร ซึ่งขณะนี้ผู้ติดเชื้อในประเทศอยู่ที่ 11,450 ราย แต่แนวโน้มถือว่ายังสูงขึ้นต่อเนื่อง จากการเริ่มผ่อนคลายมาตรการและมีกิจกรรมทางสังคม ไปรับประทานอาหารร่วมกัน ทำให้อาจมีโอกาสแพร่เชื้อและติดเชื้อตามกันไปได้เพิ่มขึ้น แต่หากเราดูแลตนเอง ลดปัจจัยเสี่ยงให้มากที่สุด รับวัคซีนครบและบูสเตอร์โดส ก็จะสร้างความเชื่อมั่นว่า หากติดเชื้ออาการจะไม่รุนแรง สำหรับการรักษาขณะนี้อยู่ในระบบ 105,129 ราย ถือเป็นเพียงครึ่งเดียวจากช่วงที่ติดเชื้อสูงสุดที่มีผู้รักษาในระบบ 2 แสนราย โดยพบว่าครึ่งหนึ่งอยู่ใน รพ. คือ 5 หมื่นคน และอีกครึ่งหนึ่งอยู่นอก รพ.คือแยกกักที่บ้าน HI รพ.สนาม หรือ CI รวมประมาณ 5.3 หมื่นคน และส่วนใหญ่อาการไม่มาก
"ทั้งหมดเป็นตัวเลขที่ใช้ติดตามได้ว่า สถานกาณณ์ตอนนี้ศักยภาพด้านการแพทย์ยังมีรองรับเพียงพอในผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ส่วนคนอาการไม่มากหรือไม่มีอาการ ที่เมื่อตรวจเจอเชื้อแล้วอาจพิจารณาอยู่ที่บ้านทำ HI แยกกักที่บ้าน อาจสะดวกกับตัวเองและครอบครัวมากขึ้น หากแยกกักไม่ได้อาจเข้าระบบ รพ.สนาม หรือฮอสปิเทล" นพ.จักรรัฐกล่าว
นพ.จักกรัฐกล่าวว่า ในการรายงานสถานการณ์ยังนำเสนอการแจ้งเตือนที่ยังอยู่ในระดับ 4 ขอให้งดเข้าสถานที่เสี่ยงระบบปิด งดการรวมกลุ่มคนจำนวนมากๆ ที่มีโอกาสเจอผู้ติดเชื้อมาสัมผัสเราได้ หากต้องไปสถานที่เสี่ยงให้สวมหน้ากากตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังรายงานจังหวัดที่แนวโน้มยังมีความเสี่ยงสูงและติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง ได้แก่ เชียงใหม่ นครสวรรค์ นครราชสีมา ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด บุรีรัมย์ ขอนแก่น มหาสารคาม สุรินทร์ ภูเก็ต นครศรีธรรมราช ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา ระยอง ปราจีนบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี และ กทม. ซึ่งกทม.มีแนวโน้มสูง 2-3 วันที่ผ่านมา มีคลัสเตอร์ ผู้สัมผัสใกล้ชิด และผู้ติดเชื้อตามมาจำนวนมาก โดยเฉพาะสัมผัสกันในครอบครัว โดยประชาชนจังหวัดเหล่านี้หรือเดินทางเข้าจังหวัดเหล่านี้ ต้องเพิ่มป้องกันตนเองให้มากขึ้น สวมหน้ากากตลอดเวลา เว้นระยะห่างผู้อื่น รับประทานอาหารร่วมคนในครอบครัว โดยเฉพาะกลุ่ม 608 ต้องเว้นระยะห่างมากขึ้น และพาผู้สูงอายุไปรับวัคซีนบูสเตอร์โดส
นพ.จักรรัฐกล่าวว่า สำหรับผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานอายุ 20-29 ปี 30-39 ปี และ 40-49 ปี แต่ที่เพิ่มขึ้นช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา คือกลุ่มเด็ก 0-9 ปี และวัยรุ่น 10-19 ปี มีจากหลายปัจจัย ซึ่งรายงานผู้ติดเชื้อกลุ่มเด็กช่วงวันที่ 30 ม.ค. - 5 ก.พ. จำนวน 10,832 ราย แบ่งเป็น 0-4 ปี , 5-9 ปี , 10-14 ปี และ 15-19 ปี ว่ามีการสัมผัสติดเชื้ออย่างไร พบว่า การติดเชื้อในโรงเรียนมักพบในกลุ่มอายุ 10-14 ปีและ 15-19 ปี ส่วนการติดเชื้อในครอบครัวพบมากในทุกกลุ่มอายุ แต่จะมากในกลุ่ม 0-4 ปี และ 5-9 ปี เนื่องจากพ่อแม่ติดเชื้อมาและทำให้ลูกติดเชื้อตาม ส่วนสัมผัสผู้ติดเชื้อนอกบ้านและในชุมชน จะเป็นกลุ่มวัยรุ่น 15-19 ปีเป็นหลัก ซึ่งแต่ละกลุ่มมีกิจกรรมแตกต่างกันทำให้สาเหตุการติดเชื้อแตกต่างกัน แต่ย้ำว่ามีการติดเชื้อในบ้านจำนวนมากในทุกกลุ่มอายุเด็ก จึงเป็นประเด็นสำคัญ เพระาหากติดเชื้อในเด็กและไม่ระวังอาจไปติดผู้สูงอายุในบ้าน ทำให้มีอาการรุนแรงได้ ซึ่งกลุ่มเด็กอัตราติดเชื้อเสียชีวิตอยู่ที่ 0.01% แต่ผู้สูงอายุอัตราเสียชีวิตสูงมกา โดยเฉพาะอายุ 70 ปีขึ้นไปสูงกว่าเด็กเล็กถึง 200 เท่า
"หากมีการติดเชื้อในเด็กเล็ก ขอให้เว้นระยะห่าง ปู่ย่าตายายอย่าเพิ่งเข้าไปกอดหอมแก้มเด็ก อาจติดเชื้อและมีอาการหนักได้ โดยเฉพาะคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีนหรือบูสเตอร์โดส จึงต้องรณรงค์ให้มารับวัคซีนโดยเร็ว เพราะมีคนฉีดวัคซีนไม่ครบหรือยังไม่ฉีดจำนวนมาก โดยฉีดเข็มแรก 75.6% เหลืออีก 25% ซึ่งตอนนี้มีการฉีดวัคซีนในเด็กแล้ว ขอให้พ่อแม่พาลูกหลานไปฉีดวัคซีนทั้งสองเข็ม ส่วนผู้สูงอายุและมีโรคเรื้อรังไปฉีดบูสเตอร์โดส ซึ่งขณะนี้กลุ่มสูงอายุฉีดเข็มกระตุ้นดเพียง 19.9% และโรคเรื้อรังฉีดเพียง 37%
นอกจากนี้ ช่วงรับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่ม ให้เว้นระยะห่าง ลดการพูดคุยในช่วงนั้น จะช่วยลดการแพร่ระบาดไม่ให้รวดเร็วและไปถึงกลุ่มเสี่ยง 608" นพ.จักรรัฐกล่าว
นพ.จักรรัฐกล่าวว่า ส่วนสาเหตุที่ต้องตรวจ RT-PCR ในผู้เดินทางเข้าประเทศระบบ Test&Go 3 ครั้ง คือก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมง และเมื่อมาถึงประเทศไทยอีก 2 ครั้ง ค่อ Day 0 และ Day 5 เนื่องจากต่างประเทศยังมีอัตราการติดเชื้อสูง มีโอกาสสูงที่คนดินทางเข้าประเทศจะติดเชื้อและนำเชื้อเข้ามาได้ ซึ่งช่วงแรกที่มาถึงอาจยังไม่แสดงอาการ และวมาแสดงอาการภายหลัง ซึ่งปีที่ผ่านมาที่มีการตรวจเพียงคัร้งเดียวเมื่อมาถึงประเทศไทย พบว่ามีการหลุดจากการตรวจไม่เจอครั้งแรก อย่างกรณีคลัสเตอร์กาฬสินธุ์ ที่ผู้เดินทางกลับมาตรวจครั้งแรกไม่พบ และมีการไปสถานที่เสี่ยงต่างๆ จนเกิดคลัสเตอร์โอมิครอนแรกๆ ในไทยกระจายทั่วภาคอีสาน ดังนั้น การตรวจครั้งที่ 2 เมื่อมาถึงประเทศไทย จึงช่วยให้ทราบปัจจัยเสี่ยง ผู้เดินทางที่ติดเชื้อก็ได้เข้ารักษา ดูแลตนเองและครอบครัว ป้องกันคนอื่นไม่ให้ติดเชื้อเพิ่มเติม เป็นการสร้างความมั่นใจ เพราะอัตราติดเชื้อในไทยยังต่ำกว่าต่างประเทศมาก เมื่อหลุดขึ้นมาจะได้ทราบและคุมโรคทันเวลา