สธ.คิกออฟหญิงไทย 30-60 ปี รับชุดตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเอง วันที่ 4 ก.พ.นี้ เนื่องในวันมะเร็งโลก เผยมี 8 หมื่นชุด กระจายทุกจังหวัด หวังเพิ่มเข้าถึงคัดกรอง ช่วยตรวจพบความผิดปกติในระยะแรกมากขึ้น
เมื่อวันที่ 3 ก.พ. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า โรคมะเร็งยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทย แต่ละปีมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ประมาณ 140,000 คน เสียชีวิตปีละประมาณ 84,000 คน โรคมะเร็งที่พบมากในคนไทย ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง และมะเร็งปากมดลูก ดังนั้น สธ.จึงกำหนดนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่” ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งได้รับการรักษาที่รวดเร็ว เพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้มากขึ้น และในวันมะเร็งโลก วันที่ 4 ก.พ.นี้ สธ.ได้เริ่มขับเคลื่อนโครงการนำร่องคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่บ้านด้วยตนเอง ในกลุ่มหญิงไทยอายุ 30-60 ปีทั่วประเทศ เนื่องจากยังมีผู้หญิงจำนวนมากไม่เคยรับการตรวจ เพราะต้องเดินทางไป รพ.ทำให้เสียเวลาทำงาน หรือมีความอายหรือกลัวการสอดอุปกรณ์ทางช่องคลอด แต่โครงการนี้สามารถรับชุดตรวจไปเก็บสิ่งส่งตรวจได้เองที่บ้าน โดยกระจายชุดตรวจไปทุกจังหวัด จังหวัดละประมาณ 1,000 ชุด รวม 80,000 ชุด หากได้ผลดีจะผลักดันเป็นชุดสิทธิประโยชน์ด้านโรคมะเร็งต่อไป
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธีขูดเซลล์จากบริเวณปากมดลูกหรือ PAP smear ต้องใช้ความชำนาญของผู้ตรวจและผู้นำเซลล์ไปดูลักษณะความผิดปกติ แต่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนวิธีตรวจเป็นหาการติดเชื้อ HPV ในบริเวณช่องคลอดแทน ซึ่งทำได้ง่ายกว่าทั้งการเก็บสิ่งส่งตรวจและแปลผล ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการตรวจได้มากขึ้นและตรวจพบความผิดปกติในระยะแรกมากขึ้น สำหรับชุดตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยตัวเองสามารถเก็บสิ่งส่งตรวจได้ง่าย โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติได้จัดทำคู่มือแนะนำวิธีการโดยละเอียด จากนั้นให้ส่งกลับไปตรวจที่ รพ.รอรับการแจ้งผลตรวจผ่านทางแอปพลิเคชันหรือทางไปรษณีย์ หากพบความผิดปกติสามารถเข้าสู่ระบบการตรวจวินิจฉัยและการรักษาได้ตามสิทธิ ไม่เสียค่าใช้จ่าย
"หลักเกณฑ์ผู้ที่ขอรับชุดตรวจ คือ หญิงไทยอายุ 30-60 ปี และไม่ได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเกิน 5 ปี ระยะแรกติดต่อรับชุดตรวจได้ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และ รพ.มะเร็งภูมิภาคทั้ง 7 แห่งของกรมการแพทย์ ได้แก่ รพ.มะเร็งลำปาง อุดรธานี อุบลราชธานี ลพบุรี มหาวชิราลงกรณ์ธัญบุรี ชลบุรี และ สุราษฎร์ธานี ระยะที่ 2 รับได้ที่ รพ.ที่เข้าร่วมโครงการทุกจังหวัด ซึ่งจะประกาศให้ทราบต่อไป" นพ.สมศักดิ์กล่าว