กระทรวงสาธารณสุข เผย คลัสเตอร์โควิด “โอมิครอน” จ.กาฬสินธุ์ เป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ จากปัจจัยเสี่ยงร้านอาหารมีความแออัด ระบายอากาศไม่ดี ไม่เข้มงวดการสวมหน้ากาก คลัสเตอร์สองเป็นนักศึกษาใน กทม.แพร่ไปแล้ว 52 คน ตรวจเจอเชื้อในช่องแอร์ เครื่องปรับอากาศ 2 เครื่อง ย้ำ ช่วงปีใหม่ให้หลีกเลี่ยงสถานที่เสี่ยง ใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง แนะกลุ่มเสี่ยง 608 ที่ฉีดวัคซีนไม่ครบ หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มและเดินทางโดยขนส่งสาธารณะที่ไม่เข้มงวดมาตรการ
วันนี้ (29 ธ.ค.) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โควิด 19 ประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อ 2,575 ราย เสียชีวิต 17 ราย ผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตลดลง แต่ยังพบความเสี่ยงผู้ติดเชื้อมาจากต่างประเทศ ศบค.จึงชะลอระบบ Test&Go เพื่อลดผู้ติดเชื้อเข้าประเทศ ขณะที่ในประเทศยังพบการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน ทั้งร้านอาหาร บาร์ ตลาด รวมทั้งความเสี่ยงที่มีคนรวมกันหมู่มาก หลังปีใหม่คาดว่าแนวโน้มอาจมีการระบาดเพิ่มขึ้นแต่จะพยายามลดการระบาดให้มากที่สุดโดยมีมาตรการต่างๆ เพิ่มเติม แนะนำผู้ที่ฉีดวัคซีน 2 เข็มครบ 3 เดือนแล้วให้ไปฉีดเข็มกระตุ้น ส่วนคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนให้รีบมาฉีด และเข้มมาตรการเว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด ระบบระบายอากาศไม่ดี ผู้คนในสถานที่นั้นไม่สวมหน้ากาก ส่วนขนส่งสาธารณะแนะนำให้ตรวจ ATK เป็นระยะ สวมหน้ากากตลอดเวลาที่เดินทาง
สำหรับการสอบสวนคลัสเตอร์โอมิครอนที่สำคัญ 2 คลัสเตอร์ ได้แก่ คลัสเตอร์กาฬสินธุ์ ซึ่งแพร่กระจายหลายจังหวัดทั้งอีสานและภาคเหนือ มีผู้ติดเชื้อหลายร้อยคนถือเป็น “ซูเปอร์สเปรดเดอร์” จุดสำคัญคือ ร้านอาหารที่แปลงมาจากบาร์แต่ไม่ได้ปรับปรุงระบบระบายอากาศ ทำให้มีความเสี่ยงสูง พบว่า ผู้ติดเชื้อไปร้านอาหาร 2 แห่ง คือ ร้าน BAR S ที่เจ้าของร้านกำกับติดตามมาตรการควบคุมป้องกันโรคเข้มข้น โดยมีบริการ 10 โต๊ะ รองรับได้ 40 คน วันนั้นรับลูกค้าเพียง 10% และเปิดเพียง 3 ชั่วโมง จัดอุปกรณ์เฉพาะบุคคล ไม่มีส่งเสริมการขายแอลกอฮอล์ ไม่มีแสดงดนตรี พนักงานฉีดวัคซีนทุกคน ตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ คัดกรองอุณหภูมิผู้รับบริการ ช่วงที่ไม่รับประทานอาหารให้สวมหน้ากากตลอด ทำให้ไม่มีผู้ติดเชื้อเลย ขณะที่ร้าน BAR K ที่พบผู้ติดเชื้อจำนวนมากมี 15 โต๊ะ รองรับได้ 80 คน มีการเสริมโต๊ะ ระบบระบายอากาศไม่ดี ลูกค้าอยู่กันแออัด 90% และอยู่นานเพราะมีดนตรีและจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายแอลกอฮอล์ พนักงานฉีดวัคซีนทุกคน แต่ไม่มีการตรวจ ATK ไม่คัดกรองไทยเซฟไทย และยังรับประทานอาหารร่วมกัน พนักงานป่วยไม่หยุดงาน ลูกค้ามีการคัดกรองอุณหภูมิ แต่ไม่คัดกรองความเสี่ยงและเว้นระยะห่างได้ไม่ดี ถือเป็นบทเรียนที่ร้านอาหารต้องปรับปรุง และเป็นข้อเตือนใจลูกค้าให้หลีกเลี่ยงร้านที่มีความเสี่ยง คือ แออัด ระบายอากาศไม่ดี ผู้คนไม่ใส่หน้ากาก เพื่อความปลอดภัย
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า อีกคลัสเตอร์คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน กทม. วันที่ 24 ธันวาคม พบผู้ติดเชื้อ 52 ราย มีประวัติรับประทานอาหาร ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารคล้ายผับ “ร้าน A” ช่วงวันที่ 8-14 ธันวาคม พบว่าไม่ได้ดำเนินการตามมาตรการ COVID Free Setting ลูกค้าอยู่ค่อนข้างแออัดและระบบระบายอากาศไม่ดี ตรวจสอบหาเชื้อในสิ่งแวดล้อมพบเชื้ออยู่ในเครื่องปรับอากาศ ดังนั้น ขอให้ใช้เวลารับประทานอาหารให้น้อยที่สุด ช่วงที่ไม่รับประทานอาหารให้สวมหน้ากาก ซึ่งหากทุกคนใส่หน้ากากจะลดเสี่ยงการติดเชื้อมากกว่า 90% ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากชนิดใด สิ่งสำคัญคือต้องใส่ให้ถูกต้อง
นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า ส่วนการแจ้งเตือนภัยโควิดระดับ 3 ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการไปสถานที่เสี่ยง คือ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ สถานที่ระบบปิดและแออัด กลุ่มเสี่ยง 608 ที่ยังรับวัคซีนไม่ครบไม่ควรไปร่วมกิจกรรมที่คนรวมกันจำนวนมาก หลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยรถขนส่งสาธารณะ และงดเดินทางไปต่างประเทศส่วนคนทั่วไป ให้เดินทางเท่าที่จำเป็น โดยการเข้าประเทศจะเป็นระบบกักตัว ส่วนสายพันธุ์โอมิครอนข้อมูลทั่วโลกเห็นตรงกันว่าระบาดมากขึ้น แต่ความรุนแรงลดลง เนื่องจากเชื้อจะอยู่ในทางเดินหายใจส่วนบนมากกว่ากรณีจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นหรือไม่ ปัจจัยสำคัญคือเชื้อต้องมีความรุนแรงลดลง คนมีภูมิต้านทานมากขึ้นจากการฉีดวัคซีนหรือติดเชื้อมาก่อน ทำให้คนและเชื้ออยู่ร่วมกันได้