สปสช. แจงจับมือ “ฟู้ดแพนด้า” ส่งอาหารผู้ป่วยโควิดดูแลที่บ้านหรือที่ชุมชนยึดเกณฑ์พิจารณาจากข้อเสนอดีที่สุด ความพร้อมบริการทันที ย้ำไม่มีการผูกขาด ส่วนกรณีผู้ป่วยโควิดจับคู่ รพ.สิชล ดูแลที่บ้านหรือที่ชุมชน ไม่ได้รับอาหาร 3 มื้อ สาเหตุเกิดการบอกต่อรหัสกลาง HMIS ในการสั่งอาหารของผู้ป่วย บางคนโพสต์ขึ้นเฟซบุ๊ก ทำจำนวนสิทธิของผู้ป่วยเต็ม เผยเร่งแก้ปัญหาแล้ว ระดม จนท.สปสช. ส่งรหัสเฉพาะบุคคลให้ผู้ป่วยด่วน
วันนี้ (25 ก.ค.) ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์การจัดส่งอาหาร 3 มื้อ ให้ผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียวในระบบการดูแลผู้ป่วยโควิดที่บ้าน โดยยืนยันว่า การดำเนินการของ สปสช. มีเจตนาที่ดี ซึ่งก่อนหน้านี้จากการประเมินสถานการณ์โควิด-19 ที่พบแนวโน้มผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้น และจะเกินศักยภาพ รพ. รองรับ จำเป็นต้องมีการวางระบบเพื่อติดตามดูแลผู้ติดเชื้อที่นำมาสู่ “การจัดระบบดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่บ้านและในชุมชน” นอกจากระบบติดตามอาการและรักษาแล้ว ด้วยผู้ติดเชื้อต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน ในการดูแลจึงต้องรวมบริการอาหาร 3 มื้อ ดังนั้น สปสช. ประสานพูดคุยกับบริษัทจัดส่งอาหาร ทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ก.ค. โดยดูข้อเสนอและอัตราค่าบริการที่ดีที่สุด ตลอดจนความพร้อมบริการ
ทั้งนี้ จากการพิจารณาแต่ละผู้ประกอบการได้มีข้อเสนอจัดบริการที่แตกต่างกันไป แต่ในส่วนของบริษัท ฟู้ดแพนด้า (ไทยแลนด์) จำกัด ได้นำเสนอบริการที่ครบถ้วนตามการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในระบบการดูแลที่บ้านหรือที่ชุมชน (Home-Community Isolation) คือ อาหาร 3 มื้อ พร้อมให้บริการจัดส่งถึงบ้านผู้ป่วยในราคา 300 บาท/คน/วัน โดยเรียกเก็บค่าใช้จ่ายไปที่ รพ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมาดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ให้ แม้จะอยู่ต่างจังหวัดแต่ใช้ VDO Call ติดตามอาการดูแลผู้ป่วย เนื่องจากสถานพยาบาลใน กทม.และปริมณฑล รับดูแลผู้ป่วยไม่ไหว เนื่องจากการให้บริการที่มีจำนวนมากในขณะนี้ และยังมีความพร้อมบริการภายในเวลาที่กำหนด ซึ่ง สปสช.คำนึงถึงอาหารที่ผู้ป่วยจะได้รับตามกำหนดเป็นประเด็นสำคัญ
ทพ.อรรถพร กล่าวว่า ในสถานการณ์นี้เมื่อมีผู้ติดเชื้อในระบบการดูแลที่บ้านหรือที่ชุมชนที่ตกค้างจำนวนมาก ซึ่งล่าสุด รพ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช รับติดตามดูแลเพื่อให้ผู้ติดเชื้อทุกคนสามารถเข้าสู่ระบบการดูแลที่บ้านหรือที่ชุมชน โดยจะดูติดตามเยี่ยมผู้ป่วยผ่านระบบ Video Call วันละ 2 ครั้ง แต่ในระยะเริ่มต้นได้ขอให้ สปสช.จัดส่งอาหารให้กับผู้ป่วย สปสช.จึงได้ประสานกับบริษัท ฟู้ดแพนด้า (ไทยแลนด์) จำกัด ตามที่ได้มีการประสานความร่วมมือไว้ก่อนหน้านี้ โดยบริษัท ฟู้ดแพนด้าฯ มีการทำสัญญากับ รพ.สิชล ในการส่งอาหารให้ผู้ป่วยที่อยู่ในความดูแลของ รพ. เมื่อวันศุกร์ที่ 23 ก.ค. และได้เริ่มจัดส่งอาหารได้ในวันเดียวกัน ดังนั้นขอยืนยันว่าไม่ได้มีการผูกขาดแต่อย่างใด แต่ละ รพ./คลินิก สามารถเลือกบริษัทได้โดยอิสระ หรือแม้แต่จะประกอบอาหารส่งผู้ป่วยเองก็สามารถทำได้
ส่วนกรณีที่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในระบบการดูแลที่บ้านหรือที่ชุมชนไม่ได้รับจัดส่งอาหาร 3 มื้อนั้น ทพ.อรรถพร ชี้แจงว่า ตามระบบจะให้ผู้ป่วยดาวน์โหลดแอปพลิเคชันฟู้ดแพนด้า และให้เลือกอาหารวันละ 1 ครั้ง จำนวน 3 มื้อไม่เกิน 300 บาท ก่อนกดสั่งจะต้องใส่รหัส e-Voucher Code เพื่อยืนยันว่าเป็นคนไข้ในโครงการการดูแลที่บ้านหรือที่ชุมชน ซึ่งรหัสนี้เป็นรูปแบบ 1 คนต่อ 1 รหัส แต่เนื่องจากทาง รพ.สิชล รับดูผู้ป่วยในระบบการดูแลที่บ้านหรือที่ชุมชนถึงจำนวน 6,055 ราย และต้องการให้ผู้ป่วยสามารถสั่งอาหารได้เลยในเย็นวันที่ 24 ก.ค. เลย ทำให้ไม่สามารถส่งรหัส สั่งอาหารแบบ 1 คนต่อ 1 รหัสให้กับผู้ป่วยได้ทัน จึงใช้รหัสกลางคือ HMIS ในการยืนยันสั่งอาหาร โดยส่งทาง SMS ให้กับผู้ป่วย กำหนดเพดานสั่งไม่เกิน 7,000 รายการต่อวัน
“สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีการนำรหัส HMIS สำหรับให้ผู้ป่วยโควิด-19 ในระบบการดูแลที่บ้านหรือที่ชุมชนของ รพ.สิชล ไปบอกต่อกัน บางคนยังนำไปโพสต์เฟสบุ๊ก เพื่อบอกต่อ ทำให้คนที่ไม่ใช่ผู้ป่วยนำรหัสนี้ไปสั่งอาหาร ทำให้ผู้ป่วยโควิด-19 จำนวนมากไม่สามารถสั่งอาหารได้และไม่ได้รับอาหาร เพราะมีการใช้สิทธิเต็มเพดาน แต่ผู้ที่สั่งอาหารจากรหัสนี้กลับเป็นคนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นผู้ป่วยโควิด-19 ในระบบ จนเกิดกระแสอย่างที่ปรากฎ” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว
ทพ.อรรถพร กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้วันนี้ สปสช. ได้ระดมเจ้าหน้าที่มาดำเนินการส่งรหัสสั่งอาหารแบบ 1 คนต่อ 1 รหัสแล้ว โดยเร่งดำเนินการในส่วนผู้ป่วยที่เมื่อวานไม่ได้รับอาหารก่อน ซึ่งมีจำนวนเกือบ 1,600 คน ทั้งนี้ สปสช. ต้องขอโทษประชาชน โดยเฉพาะผู้ป่วยในระบบการดูแลที่บ้านหรือที่ชุมชนของ รพ.สิชลที่ไม่ได้รับอาหารเมื่อวานนี้ โดยหวังว่าประชาชนและสังคมจะเข้าใจ ซึ่งวิกฤตสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น สปสช. ได้พยายามตั้งใจทำหน้าที่ดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด