เมื่อวันที่ 10 ก.ค. เป็นวันแรกของการเริ่มกระบวนการจัดการกำจัดสารเคมีในโรงงาน “หมิงตี้ เคมีคอล” ที่เกิดเหตุระเบิด และเกิดเพลิงไหม้ยาวนาน จนต้องใช้เวลาควบคุมเพลิงกว่า 30 ชั่วโมง โดยการจัดการกับสารเคมีในวันแรก คือ การดูด “สไตรีน โมโนเมอร์” สารเคมีอันตรายที่ใช้ในการทำโฟมและเม็ดพลาสติก ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักออกจากแท้งค์ขนาดใหญ่ของโรงงาน ซึ่งเป็นแท้งค์ที่มีความจุ 2000 ตัน
นายปราโมทย์ กันโพธิ์ ผู้จัดการฝ่ายประสานงานโครงการ บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด(มหาชน) ซึ่งเป็นผู้รับเหมารายเดียวที่รับภารกิจกำจัดสารเคมีอันตรายจากโรงงานหมิงตี้ เปิดเผยว่า เป้าหมายในการกำจัดสารคมีอันตรายในช่วงแรก คือ นำ “สไตรีน” ที่ยังคาอยู่ในแท้งค์ขนาด 2000 ตัน ออกไปก่อน ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญจากโรงงานช่วยวิเคราะห์ว่า สไตรีน โมโนเนอร์ ที่ยังเหลืออยู่ในแท้งค์นี้มีประมาณ 600 ตัน หรือ 6 แสนลิตร จึงใช้วิธีนำท่อมาต่อกับวาล์วที่มีอยู่แล้วของแท้งค์เพื่อดูดออกตรงไปใส่ในรถขนส่ง
สำหรับการกำจัด “สไตรีน โมโนเนอร์” ทำได้เพียงวิธีเดียว คือ การนำไปเผาด้วยความร้อนสูง 1200 องศาเซลเซียส ซึ่งต้องเผาทิ้งไปเลย ทำให้ต้องนำไปที่เตาเผาของ “บริษัท อัคคีปราการ” ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปูเท่านั้น เพราะเป็นเตาเดียวที่รับเผาทิ้ง โดยไม่เหลือของที่เป็นประโยชน์หลังจากการเผา
นายปราโมทย์ เปิดเผยว่า ค่ากำจัดสารสไตรีนด้วยการเผา มีราคาอยู่ที่ตันละ 2 หมื่นบาท ถ้ามีสารเคมี 600 ตันจริงตามที่วิเคราะห์ไว้ ก็จะเป็นเงิน 12 ล้านบาท แต่จะต้องรวมค่าขนส่งไปด้วย ซึ่งมีราคาตามที่ตกลงกันไว้เที่ยวละ 1.5 หมื่นบาท รถหนึ่งคัน สามารถบรรจุสารเคมีได้ 24 ตัน ดังนั้น 600 ตัน ก็จะต้องใช้รถวิ่งทั้งหมด 25 คัน คิดเป็นเงิน 3.75 แสนบาท
รวมแล้วเฉพาะค่าคำกัดสารสไตรีน โมโนเมอร์ ออกจากแท้งค์ จึงมีราคา 12.375 ล้านบาท ในฐานที่เข้าใจตรงกันว่า มีสารเคมีเหลือเพียง 600 ตันจริงๆ โดยทาง เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน ยืนยันว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทางโรงงานหมิงตี้ เคมีคอล เป็นคนจ่าย
โดยสถานการณ์การทำงานในวันนี้ (10 ก.ค.2564) ในช่วงเช้าได้นำรถไปดูดสารสไตรีน ออกมาแล้ว 1 คัน และมีแผนจะดำเนินการในวันแรกให้สามารถขนส่งไปได้ก่อน 5 คัน ซึ่งถ้ากระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่น จะเพิ่มจำนวนรถขนส่งเป็น 10 คันต่อวันในวันพรุ่งนี้ เพราะตามแผนงาน มีเป้าหมายจะทำให้เสร็จใน 5 วัน
ส่วนที่ยังต้องประเมินเพื่อทำการกำจัดอีก คือ การปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมต่างๆทั้งในและโดยรอบโรงงงาน โดยจะต้องแบ่งเป็น 3 ประเภทของการปนเปื้อน คือ
น้ำเสียจากการดับเพลิงที่ปนเปื้อนสารเคมี จะต้องประเมินว่ามีปริมาณเท่าไหร่ ลงไปในแหล่งน้ำด้วยหรือไม่ ส่วนนี้จะต้องนำไปเผาที่เตาเผาอัคคีปราการเช่นกัน แต่จะมีราคาถูกกว่าการเผาสารเคมีโดยตรง
ส่วนอีก 2 ประเภท คือ ขี้เถ้าที่เกิดจากไฟไหม้ และดินที่ปนเปื้อนสารเคมี ยังต้องวิเคราะห์ก่อนว่าจะใช้วิธีการกำจัดอย่างไรได้บ้าง โดยเฉพาะการตรวจค่าความปนเปื้อนของสารเคมี ถ้าพบการปนเปื้อนไม่มาก ก็อาจใช้วิธีการฝังกลบได้ แต่หากพบการปนเปื้อนมาก ก็ต้องกำจัดด้วยการเผาเช่นกัน
การประเมินราคาค่าดำเนินการกับสิ่งแวดล้อมโดยรอบโรงงานนี้ ทางเบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จะสรุปแผนส่งไปหารือร่วมกันในวันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2564