ในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19
ระลอกที่3 นี้
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้มีบทบาทในการดูแลและป้องกันสุขภาพของพี่น้องประชาชนในจังหวัดเชียงราย
ตั้งแต่การจัดหอผู้ป่วยเฉพาะโรค (Cohort Wards) จำนวน200
เตียงรองรับผู้ติดเชื้อ การตรวจคัดกรอง
และการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเสี่ยงและประชาชนทั่วไป
การเฝ้าระวังสุขภาพให้กับนักศึกษาที่ยังอาศัยอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัยเกือบ2,000
คนในเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมา และการจัดการขยะติดเชื้ออย่างปลอดภัย
ผศ.ดร.ปเนต มโนมัยวิบูลย์ หัวหน้าศูนย์วิจัย CEWT (Circular Economy for Waste-free Thailand) มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้ระบุถึงแนวทางการดำเนินการของมหาวิทยาลัยที่บูรณาการความรู้จากสำนักวิชาต่างๆ โดยเป็นการทำงานร่วมกันของอาจารย์และนักศึกษาทำให้เกิดการพัฒนาโครงการ เครื่องมือ และวิธีการ เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือสังคมและสิ่งแวดล้อมในเรื่องการจัดการขยะ
ในสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในตอนนี้ ขยะติดเชื้อเกิดเพิ่มขึ้นในสถานพยาบาล สถานที่กักตัว หรือสถานที่ตรวจคัดกรอง ทั้งจากผู้ป่วยติดเชื้อ และจากแพทย์ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องดูแลผู้ป่วยเหล่านั้นนอกจากนี้ยังมีขยะอีกส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นในครัวเรือนและที่สาธารณะจากการที่ประชาชนทุกคนสวมใส่หน้ากากอนามัยแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง โดยไม่ได้คัดแยกจากขยะทั่วไปเพื่อนำไปกำจัดอย่างปลอดภัยดังนั้น การจัดการขยะติดเชื้อในช่วงระยะเวลาของการระบาดโควิด-19 จึงเป็นประเด็นที่ทุกคนควรตระหนักและให้ความร่วมมือกันโดยเฉพาะการคัดแยกและทิ้งหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วอย่างถูกต้อง
สำหรับขยะติดเชื้อที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลนั้น กรมอนามัยคาดการณ์ว่าจะสูงถึงวันละ 2.85 กิโลกรัมต่อผู้ป่วย 1 คน เป็นขยะที่มาจากตัวผู้ป่วยเอง และอุปกรณ์ป้องกันตัวของแพทย์ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องดูแลผู้ป่วย ทั้งนี้ ในการระบาดรอบที่ผ่านมากรมอนามัยได้ประมาณการว่ามีขยะติดเชื้อจาก โควิด-19 สะสมรวมอย่างน้อย 4,500 ตัน ลองคำนวณดูว่าปริมาณขยะติดเชื้อสะสมรวมถึงปัจจุบันจะเพิ่มขึ้นมากขนาดไหนเมื่อดูจากจำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสมที่มีมากถึง 158,675 ราย (ข้อมูลถึง 10 มิถุนายน 2564)ซึ่งโจทย์นี้เป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทหลักสูตรวิทยาการเชิงคำนวณ สำนักวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างแบบจำลองที่สามารถใช้ในการพยากรณ์ปริมาณขยะติดเชื้อจากโรคระบาดในอนาคต
สำหรับโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ขยะติดเชื้อที่มาจากหอผู้ป่วยโควิด-19 ในระลอกที่ 3 นี้ คิดเป็นกว่าร้อยละ 50 ของปริมาณขยะติดเชื้อทั้งหมด นั่นหมายความว่าในช่วงการระบาด จำนวนขยะติดเชื้อในโรงพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัวจากการติดตามข้อมูลด้วยระบบ D-Germ ที่พัฒนาขึ้นโดยศูนย์วิจัย CEWT ร่วมกับอาจารย์และนักศึกษาในสาขาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ สำนักวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยระบบ D-Germ ได้ถูกนำร่องใช้งานในโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและโรงพยาบาลประจำอำเภออีก 2 แห่งในจังหวัดเชียงรายช่วยให้โรงพยาบาลสามารถติดตามขยะติดเชื้อแต่ละประเภทได้ไปจนถึงการกำจัด ทำให้มีความมั่นใจได้ว่าขยะติดเชื้อทุกถุงถูกจัดการอย่างถูกต้องและปลอดภัย ตลอดกระบวนการ
ข้อมูลจากวิศวกรเครื่องกล ประจำโรงงานเตาเผาขยะติดเชื้อมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ระบุว่า ขยะติดเชื้อที่ถูกรวบรวมมาจากโรงพยาบาลในจังหวัดเชียงรายจะถูกนำมาเผาทำลายที่เตาเผา โดยห้องเผาไหม้ที่ 1 จะมีอุณหภูมิ 700-900 องศาเชลเชียส และควันจะถูกเผาต่อในห้องเผาไหม้ที่ 2 ที่อุณหภูมิ 900-1,100 องศาเชลเชียสตามมาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษทำให้แน่ใจได้ว่าไม่มีการแพร่กระจายของเชื้ออย่างแน่นอน
นอกจากนี้ โรงงานเตาเผาและศูนย์วิจัย CEWT ยังได้ทำงานร่วมกับอาจารย์และนักศึกษาสาขาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย สำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ร่วมรณรงค์ความร่วมมือของนักศึกษาและบุคลากรในมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงคัดแยกขยะก่อนทิ้ง ตอกย้ำวิธีการทิ้งอย่างถูกต้อง คือ การทิ้งหน้ากากอนามัยใช้แล้ว ให้บรรจุใส่ถุงหรือภาชนะให้มิดชิด เพื่อให้พนักงานเก็บขยะมีความปลอดภัยในการทำงาน ลดความเสี่ยงของการฟุ้งกระจายของเชื้อโรค ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้ดำเนินการตั้งจุดรับหน้ากากอนามัยใช้แล้วเพื่อให้บุคลากรและนักศึกษาคัดแยกมาทิ้งอย่างปลอดภัย
ผศ.ดร.ปเนต กล่าวในตอนท้ายว่า การพัฒนาระบบ D-Germ สำหรับโรงพยาบาลและการเก็บรวบรวมหน้ากากใช้แล้วของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเพื่อให้การจัดการขยะติดเชื้อเป็นไปอย่างถูกต้องได้มาตรฐาน เป็นตัวอย่างของความสำเร็จจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงมีความยินดีและเปิดกว้างสำหรับทุกหน่วยงานที่ต้องการนำโมเดลนี้ไปปรับใช้กับพื้นที่ชุมชนของตนเอง เชื่อมั่นว่า แม้การระบาดของโควิด-19 ในระลอกนี้จะมีความรุนแรงมากกว่าระลอกก่อน ๆ แต่หากทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันจัดการดังที่เห็นจากตัวอย่างของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงก็เชื่อได้ว่าเราจะสามารถผ่านพ้นวิกฤติทางสาธารณสุขครั้งนี้ไปได้ด้วยกัน