กว่า 30 ปี ที่ ‘ซาฟารีเวิลด์’ ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมความน่ารักและเรียนรู้ชีวิตของสัตว์นานาชนิด รวมถึงการแสดงอันตระการตา แต่เมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 เป็นเหตุให้ ‘Animal Theme Park’ แห่งนี้ต้องปิดให้บริการชั่วคราวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ใช่ว่า “วิกฤติ” จะทำให้สวนสัตว์ขนาดใหญ่แห่งนี้ต้องเสียโอกาส เมื่อผู้บริหารรุ่นใหม่ ฤทธิ์ คิ้วคชา กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซาฟารีเวิลด์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า ขณะนี้ ซาฟารีเวิลด์ รุกทำ Digital Transformation โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลและโซลูชันต่างๆ เข้ามาบริหารจัดการพื้นที่กว่า 500 ไร่ ครอบคลุมทั้งระบบการดูแลสัตว์ภายในพาร์ค การทำงานของพนักงาน และสร้าง Digital Experience ให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง
พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวไทย สู่การทำ Digital Transformation
ซาฟารีเวิลด์ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์หลากหลายชนิด ภายใต้การควบคุมและดูแลของพนักงานกว่าหนึ่งพันราย โดยพื้นที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ Safari Park สวนสัตว์เปิดที่ให้นักท่องเที่ยวขับรถเข้าชมสัตว์ป่าได้อย่างใกล้ชิด และ Marine Park โซนที่จัดแสดงสัตว์นานาชนิดในบรรยากาศร่มรื่น เสมือนป่ากลางกรุงและชมการแสดง 7 โชว์พิเศษอันน่าตื่นตาตื่นใจ
ฤทธิ์ เล่าถึงการตัดสินใจทำ Digital Transformation ว่า “จากเดิม ซาฟารีเวิลด์ มีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นนักท่องเที่ยวต่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 85-90% และนักท่องเที่ยวชาวไทยเพียง 10-15% แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีมาตรการล็อกดาวน์และปิดประเทศ เราจึงต้องปรับตัวและกลับมาโฟกัสที่ฐานลูกค้าคนไทยมากยิ่งขึ้น และด้วยเทรนด์การท่องเที่ยวของคนไทยคือนิยมมาเยือนซ้ำๆ นั่นคือ จุดเริ่มต้นของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัส โดยเริ่มตั้งแต่การพัฒนาระบบ E-Marketing ด้วยการทำ E-Ticket ให้ลูกค้าสามารถซื้อบัตรสมาชิกผ่านออนไลน์ และจัดแคมเปญ viralจำหน่ายบัตรรายปี เพียงระยะเวลาแค่ 1 เดือน มีลูกค้าแสนกว่ารายสมัครเป็นสมาชิกรายปีกับเรา จากเดิมที่เรามีเพียงไม่กี่พันราย”
จับมือ NT วางโครงข่ายสื่อสารที่แข็งแกร่งบนพื้นที่กว่า 500 ไร่
พันธมิตรสำคัญที่ ทำให้ซาฟารีเวิลด์ มั่นใจในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ คือ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT จากความร่วมมืออย่างดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตลอดจนการลงนามความร่วมมือ (MOU) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในการวางรากฐานโครงข่ายสื่อสารและเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อการจัดการระบบเน็ตเวิร์ก และการสื่อสารต่างๆ ภายในพาร์ค ให้มีความรวดเร็ว ครอบคลุม ปลอดภัย และสามารถรองรับการเติบโตในอนาคต ของ Animal Theme Park แห่งนี้
“เนื่องจากการบริหารพื้นที่กว่า 500 ไร่ ทำให้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลในสมัยก่อนนั้นทำได้ค่อนข้างยาก แต่เมื่อเทคโนโลยีต่างๆ ถูกพัฒนาและมีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น เราจึงตัดสินใจนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ โดยจับมือกับพันธมิตรที่มีโครงข่ายการสื่อสารที่แข็งแกร่ง อย่าง NT มาวางรากฐานระบบ โดยเน้นการใช้โครงข่ายแบบไร้สายประสิทธิภาพสูง ทั้ง Wi-Fi และ 5G” ฤทธิ์ กล่าวเสริม
ในส่วนของการบริหารงานในออฟฟิศนั้น เราได้เตรียมความพร้อมเรื่องการสื่อสารให้แก่พนักงานมากว่า 10 ปี จึงไม่ใช่เรื่องยากที่องค์กรจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ในการทำงาน ทั้งด้านระบบบัญชี, ระบบการตลาด โดยนำระบบอินเทอร์เน็ตของ NT มาจัดการสื่อสาร ครอบคลุมระหว่างสำนักงานทั้ง 8 แห่งภายในพาร์ค รวมถึงบริษัทลูกที่ภูเก็ต เพื่อลดความยุ่งยากในการติดต่อสื่อสาร
ผู้บริหารรุ่นใหม่บอกเล่าถึงแผนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในการบริหารภายในสวนสัตว์ด้วยดิจิทัลว่า “เมื่อโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลแข็งแกร่งแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ โดยเฉพาะการทำสัตวบาล เมื่อการเชื่อมต่อครอบคลุมทุกพื้นที่ ทำให้เรามีแผนนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เช่น ระบบ Tracking Device System, อุปกรณ์ IoT และเครือข่าย 5G ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อนำมาใช้ในการเก็บข้อมูลสัตว์แต่ละชนิด การดูแลสุขภาพของสัตว์อย่างใกล้ชิด การติดต่อสื่อสารกับสัตวแพทย์ในต่างประเทศ โดยเฉพาะการดูแลการคลอดหรือฟักตัวของสัตว์แต่ละประเภท ที่อื่นจะมีระบบ HR ของเราเรียกว่าเป็น ‘Animal Resource’ (AR) เนื่องจากทุกชีวิตของสัตว์ภายในพาร์คของเรานั้นเหมือนครอบครัวและไม่อาจประเมินค่าได้”
เตรียมมอบประสบการณ์ใหม่ให้นักท่องเที่ยว เพื่อให้สมกับการเป็น Animal Theme Park
เพื่อให้สมกับการรอคอย ซาฟารีเวิลด์ เตรียมมอบประสบการณ์ด้านดิจิทัลให้แก่นักท่องเที่ยวที่จะกลับมาเยือนสวนสัตว์อีกครั้ง ซึ่งนอกจากระบบ E-Marketing ที่ช่วยสร้างฐานลูกค้าใหม่แล้ว ซาฟารีเวิลด์ ยังมีแผนที่จะพัฒนาระบบร่วมกับ NT อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่มากยิ่งขึ้น อาทิ ระบบจองร้านอาหารภายในสวนสัตว์ ระบบจองที่นั่งสำหรับการดูโชว์ในแต่ละรอบผ่านระบบออนไลน์ ไปจนถึงการใช้ Cashless System เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า และยังเตรียมติดตั้งระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) ครอบคลุมทุกพื้นที่เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัย พร้อมกับเสริมระบบเครือข่ายฟรี Wi-Fi ของ NT ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่บริการอีกด้วย
ฤทธิ์ เล่าถึงประสบการณ์ด้านดิจิทัลที่ลูกค้าจะได้รับว่า “นักท่องเที่ยวยังจะได้สัมผัสประสบการณ์ถ่ายรูป (Photo Program) ด้วยการนำเทคโนโลยี เช่น Virtual Reality และ Augmented Reality ผสมผสานกับการเชื่อมต่อไร้สายความเร็วสูง สามารถถ่ายรูปทีเดียวได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ภายในสวนสัตว์ พร้อมทั้งแชร์ไปยังโซเชียลเน็ตเวิร์กได้ทันที ซึ่งคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการภายในสิ้นปีนี้ และไฮไลต์เด็ดที่เตรียมมัดใจนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว คือ การเชิญชวนลูกค้าเด็กๆ มาเรียนรู้ และร่วมกันทำอาหารนกที่โครงการใหม่ ‘Tree House Aviary’ โดยมีสัตวแพทย์คอยช่วยสอนและให้ข้อมูลรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับนก ก่อนจะนำเด็กๆ เข้าไปสัมผัสชีวิตของนกในกรงยักษ์ ซึ่งเตรียมเปิดให้เด็กๆ ได้พร้อมเรียนรู้กลางปีนี้ เช่นกัน”
“เรามั่นใจว่า เมื่อเปิดประเทศอีกครั้ง นักท่องเที่ยวทุกท่านจะได้รับประสบการณ์ใหม่ที่ประทับใจจากการทำ Digital Transformation และการร่วมงานกับ NT จะทำให้การทำงานของเทคโนโลยีดิจิทัลมีประสิทธิภาพสูงสุด” ฤทธิ์กล่าวทิ้งท้าย