กระทรวงสาธารณสุข เผย โรงพยาบาลบุษราคัม ทยอยรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มสีเหลืองอาการปานกลางถึงหนักเข้ารักษาต่อเนื่อง ช่วยโรงพยาบาลในเขต กทม. รับผู้ป่วยอาการหนักและกลุ่มสีแดงได้เต็มที่ พร้อมขยายได้ถึง 5,000 เตียง รองรับผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ล่าสุดเข้ารักษาตัวแล้ว 112 ราย พบปอดติดเชื้อ 29 ราย ส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาล 4 ราย
วันนี้ (16 พ.ค.) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า โรงพยาบาลบุษราคัมได้นำผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทยอยเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เมื่อเวลา 11.00 น. มีผู้ติดเชื้อเข้ารักษาในโรงพยาบาลแล้วจำนวน 112 ราย ในจำนวนนี้พบผู้ป่วยปอดติดเชื้อ 29 ราย ได้รับการรักษาด้วยยาฟาวิพิราเวียร์ จำนวน 47 ราย และมีการส่งต่อเพื่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล จำนวน 4 ราย ซึ่งโรงพยาบาลบุษราคัมเป็นโรงพยาบาลที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีศักยภาพและความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย ที่มีอาการน้อยถึงระดับปานกลางใช้พื้นที่อาคารชาเลนเจอร์ 3 จำนวน 1,092 เตียง มีการแยกสัดส่วนห้องผู้ป่วยที่ชัดเจน มีแผนติดตั้งเต็นท์ความดันลบให้ได้จำนวน 100 เต็นท์ มีเครื่องช่วยหายใจเคลื่อนที่มีระบบออกซิเจนเหลวเพื่อใช้กับเครื่องช่วยหายใจที่ต่อท่อถึงเตียงคนไข้ที่มีอาการ ทั้งระบบออกซิเจนแคนนูล่า และระบบไฮโฟลว์ รวม 270 เตียง นอกจากนี้ ยังมีความครบครัน ทั้ง ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ รถ X-ray เคลื่อนที่ และระดมบุคลากรทางการแพทย์ ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขจากทั่วประเทศ หมุนเวียนปฏิบัติหน้าที่ รวมกว่า 780 คน ในการดูแลรักษาผู้ป่วยทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต
นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า ในส่วนการรับผู้ป่วยเข้ารักษามาจากการประสานงานผ่านสายด่วนต่างๆ โรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนาม จากพื้นที่ กทม.มาดูแลรักษา หากมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสามารถขยายพื้นที่ได้อีก 2 อาคาร รองรับผู้ป่วยได้ถึงประมาณ 5,000 เตียง มีพื้นที่ขนาดใหญ่และมีความสะดวกในการรับและส่งต่อ ซึ่งเป็นการช่วยให้โรงพยาบาลในเขต กทม.มีเตียงรองรับผู้ป่วยอาการหนักกลุ่มสีแดงได้อย่างเต็มที่
“ขอให้ประชาชนในพื้นที่โดยรอบอย่ากังวลว่าจะมีเชื้อปนเปื้อนออกสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก กระทรวงสาธารณสุขได้วางระบบวิศวะกรรมได้แล้ว ทั้งระบบฆ่าเชื้อโรคในบ่อบำบัดน้ำเสีย มีเครื่องฆ่าเชื้อโรคในอากาศด้วยแสงยูวี ป้องกันผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ” นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าว