"คนที่ฉลาดที่สุดคือคนที่ใช้เวลานั่งฟัง และคิดอย่างเป็นกลาง ส่วนคนที่ขลาดเขลาที่สุดคือคนที่พยายามหาจุดอ่อนของคนที่คิดต่างเพื่อเอามาเถียงให้พินาศไป" --- ขงจื๊อ
ความคิดเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เชื่อได้แต่ไม่ทั้งหมด เราไม่รู้เลยว่าสิ่งที่คนเราพูดและแสดงออกนั้นคือความคิดจริง ๆ หรือไม่
สิ่งที่มนุษย์ทำได้คือใช้ตัวเองในการคาดเดาความคิดคนอื่นมาตลอด ตั้งแต่เกิด เมื่อยังเป็นเด็ก มนุษย์ใช้สัญชาตญาณ ความรู้สึกของตัวเองในความเข้าใจว่าคนอื่น ตอนเป็นเด็กเราอาจรู้สึกว่าพ่อดุ เพราะคุณพ่อชอบพูดเสียงดังพูดห้วน ๆ ที่เด็กคิดแบบนั้นเพราะยังไม่สามารถคิดในเชิงลึกได้
แต่เมื่อโตขึ้นมา ชีวิตเริ่มซับซ้อนขึ้น เราเข้าใจถึงความคิดมากมายที่ไม่จำเป็นต้องพูด และเมื่อเป็นผู้ใหญ่เราไม่ควรใช้เพียงแค่สัญชาตญาณในการเข้าใจผู้อื่น แต่ควรมีวิธีการคิดที่มีเหตุผลขึ้น โดยเข้าใจความซับซ้อนของความคิด และตระหนักถึงหลักการคิดที่ผิดพลาดไว้ระวังความคิดตัวเองด้วย
ในแต่ละวันของการดำเนินชีวิตเรามีโอกาสเข้าใจผิด ตราหน้าคนอื่นผิด ๆ โดยที่เรานึกไปเองว่าเราเข้าใจ แต่แท้จริงแล้วเราทุกคนก็ไม่ต่างกันในการที่เราล้วนมีโอกาสตกเป็นเหยื่อของ Illusion of cognitive หรือการหลงผิดทางความคิด
หลาย ๆครั้งเมื่อคนมีความเชื่อบางอย่าง ตามสัญชาตญาณแล้ว มนุษย์ต้องการเป็นคนปรกติ ดังนั้นเราจึงมีแรงจูงใจภายในมายืนยันว่า ความคิดแบบเราเป็นเรื่องปรกติ ใคร ๆก็คิดแบบนั้น นั่นคือความเข้าใจผิดโดยคิดว่าคนอื่นจะคิดเหมือนตน
เคยมีการทดลองของมหาวิทยาลัย Stanford อาสาให้นักเรียนไปถือป้ายที่เขียนว่า "Eat at Joe's" แปลว่า "ไปกินที่ร้านโจกันเถอะ" นักศึกษาบางคนมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่ถือป้ายนี้ก็ได้ และให้เขียนประเมินว่าถ้าชวนคนอื่นเขาจะทำไหม แน่นอนว่าเป็นไปตามคาดคือ นักเรียนที่ยินดีถือป้ายจะมองว่าการถือป้ายเป็นเรื่องที่แสดงถึงการให้ความร่วมมือพัฒนาวิชาการ เป็นการกระทำน่ายกย่อง ใคร ๆ ก็น่าจะอยากทำ คิดว่าจำนวนเกินครึ่งของเพื่อน ๆ น่าจะอยากทำ (69%)
ในทางกลับกัน คนที่ไม่กล้าถือป้าย ให้เหตุผลว่า การถือป้ายเดินรอบมหาวิทยาลัย คนอื่น ๆ อาจหัวเราะ และมองว่าทำอะไรไม่เข้าท่า หรืออยากเด่นก็เป็นได้ ดังนั้นคนดี ๆ ที่ไหนจะอยากทำ คาดคะเนว่าเกินครึ่งไม่น่าจะอยากถือป้าย (61%)
การคิดแบบเหมารวมว่าคนส่วนใหญ่ก็จะคิดแบบเรา มีผลทำให้ความผิดพลาดทางพฤติกรรมบางอย่างถูกมองข้าม เด็กนักเรียนที่ทุจริตการสอบ แม้จะถูกทำโทษ แต่ในใจคิดว่า
"เรียนหนักจะตาย โรงเรียนสอนไม่ดี ครูก็ห่วย เป็นใคร ๆ เกิดมาเป็นผม เขาก็ลอกกันทั้งนั้นแหละ"
หรือ ความผิด ทุจริตในการทำงาน โดยที่พนักงานยังคิดว่า "บริษัทนี้ใคร ๆ เขาก็โกงกัน โกงมาก โกงน้อยต่างกันไป" ความคิดเช่นนี้ คือความบิดเบือนแบบโทษสภาพภายนอก แล้วในที่สุด ปัญหาก็ไม่มีวันแก้ไขได้
ทางออกของพฤติกรรมความคิดแบบบิดเบือนนี้ ตั้งรับโดยการปลูกฝังจิตสำนึกความคิดว่า
• อย่ายึดติดตัวตนให้มากนัก (EGO) เมื่อต้องการเข้าใจเรื่องใด ๆ ให้ใช้เวลากับเรื่องนั้น รับฟังข้อมูลจากคนที่คิดไม่เหมือนเราด้วย
• อย่าเอาแต่คุยแลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนที่คิดเหมือนเรา มนุษย์มีแนวโน้มที่จะประหยัดพลังงานการคิด Cognitive Miser เพราะเบื่อการคิด จึงสรุปออกมาแบบผิด ๆ แต่หากเรารู้ตัวว่าความคิดนี้มาจากการที่เราขี้เกียจคิด ก็ไม่ควรยึดเป็นความจริง
• พยายามถามตัวเองในใจทุกครั้งทำไมเราคิดแบบนี้ หากคำตอบคือ เพราะเราไม่ชอบมัน หรือเพราะคนรอบกายเราคิดแบบนี้ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราสามารถคิดผิดได้
การคิดผิด เราสามารถรับรู้ได้ ไม่ทำให้เราเสียหน้าแม้แต่น้อย เพราะไม่มีใครรู้ว่าเรารู้ตัวแล้วว่าคิดผิด ทันทีที่รับทราบถึงกับดักความคิดผิดเพี้ยน ก็แค่ระวัง อย่ายึดติดความคิดของตัวเองว่าถูกฝ่ายเดียวจนเกลียดชังความคิดคนอื่น เท่านี้ เราก็อยู่กันได้ในโลกที่เต็มไปด้วยลุมพรางความคิดสร้างความวุ่นวายค่ะ
ครูฮ้วง
-----------------
ครูฮ้วง-เสาวลักษณ์ ลี้รุ่งเรืองพร เจ้าของสถาบัน Campus Genius Center ผู้สอนหลักสูตรติวเข้มเพื่อการสอบ SAT ด้วยแนวคิดแบบ Critical Thinking ที่ช่วยให้นักเรียนสามารถยื่นคะแนนเข้าเรียน และประสบความสำเร็จในการเรียนคณะอินเตอร์ทั้งในและต่างประเทศ