กรุงเทพมหานคร ร่วมมือกับสภาหอการค้าไทย ขยายจุดให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 นอกโรงพยาบาล ในพื้นที่ กทม. จำนวน 25 แห่ง ให้บริการต่อเนื่อง 7 เดือน เปิดบริการจุดแรกที่เซ็นทรัลลาดพร้าว 12 พ.ค.นี้
วันนี้ (8 พ.ค.) พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมหารือการดำเนินการหน่วยความร่วมมือบริการวัคซีนโควิด-19 กรุงเทพมหานคร-สภาหอการค้าไทย นอกโรงพยาบาล โดยมี พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย ดร.กฤษณะ วจีไกรลาศ กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทย ผู้บริหารสภาหอการค้าไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า)
ตามที่กรุงเทพมหานครร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจัดสถานที่นอกสถานพยาบาลเพื่อให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 เดิมพร้อมให้บริการ 14 แห่ง ได้แก่ SCG บางซื่อ เซ็นทรัลสาขาลาดพร้าว เดอะมอลล์บางกะปิ โรบินสันลาดกระบัง โลตัสมีนบุรี สามย่านมิตรทาวน์ True Digital Park ธัญญาพาร์ค เอเชียทีค เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ไอคอนสยาม PTT Station พระราม 2 เดอะมอลล์บางแค และบิ๊กซีบางบอน
สภาหอการค้าไทยได้เสนอสถานที่ฉีดวัคซีนเพิ่มเติมอีก 11 แห่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการเตรียมพร้อมอุปกรณ์ และสำนักอนามัย กทม. จะลงพื้นที่ตรวจความพร้อมเพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด
ทั้งนี้ รวมสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 นอกโรงพยาบาลในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 25 แห่ง ศักยภาพการให้บริการฉีดวัคซีนอยู่ที่ 1,000-3,000 คน/วัน รวม 25 แห่ง สามารถให้บริการได้ 38,000-50,000 คน/วัน เบื้องต้นทุกแห่งจะเปิดให้บริการต่อเนื่อง 7 เดือน
สำหรับในวันที่ 11 พ.ค. 64 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันทดลองระบบ ซึ่งพร้อมให้บริการจุดแรก ณ เซ็นทรัลลาดพร้าว จากนั้นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจะไปร่วมตรวจความเรียบร้อยการให้บริการฉีดวัคซีนจุดแรกอย่างเป็นทางการ ณ เซ็นทรัลลาดพร้าว ในวันที่ 12 พ.ค. 64 โดยจะให้บริการ 1,000 คน/วัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. กลุ่มเป้าหมายคือเจ้าหน้าที่ด่านหน้า และกลุ่มอาชีพเสี่ยง อาทิ พนักงานจัดเก็บขยะของ 50 เขต ครู ซึ่งสำนักอนามัยจะบริหารจัดการจำนวนผู้เข้ารับบริการในแต่ละวัน จากนั้นจะทยอยเปิดเพิ่มเติมในจุดอื่นๆต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้บุคลากรด่านหน้าที่ต้องปฏิบัติงานในการดูแลป้องกันโรคเข้ารับการวัคซีนก่อน รวมทั้งครูซึ่งต้องทำงานใกล้ชิดกับเด็ก ซึ่งในพื้นที่กทม.มีครูทุกสังกัดรวม ทั้งระดับปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา กว่า 1.6 แสนคน หากครบถ้วนจะให้บริการฉีดให้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยง 7 โรค และผู้สูงอายุต่อไป รวมทั้งให้สำนักอนามัยและสำนักการแพทย์เตรียมพร้อมระบบการแพทย์ฉุกเฉินเพื่อรองรับการให้บริการประชาชนจำนวนมากและการจัดการขยะติดเชื้อให้เรียบร้อย