xs
xsm
sm
md
lg

แบบอย่างหายไปกับการระบาดรอบใหม่!/ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ไม่รู้จะเรียกการระบาดของโควิด 19 ในช่วงนี้ว่ารอบที่เท่าไหร่แล้ว แต่สนใจว่าวิธีการจัดการปัญหาเป็นอย่างไรมากกว่า และจะว่าไป เราก็ยังไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตปกติได้เลยตั้งแต่เกิดการระบาดตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว

ครั้งนี้มีการระบาดรอบใหม่ที่ดูใหญ่กว่าทุกครั้ง และที่กลายเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ก็คือสถานบันเทิง ผู้คนที่ติดเชื้อโควิด 19 ก็กระจายไปแทบจะทุกวงการ แล้วดูเหมือนสถานการณ์ได้วนกลับเข้าสู่วังวนเดิม คือต้องกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน บอกว่าไม่กักตัวก็เหมือนกักตัว เพราะไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนเดิม

 เรียกว่าต้องกลับมาใช้ชีวิตอยู่บ้านเป็นหลัก พ่อแม่ทำงานจากที่บ้าน ประชุมออนไลน์ ลูกก็เรียนออนไลน์เหมือนเดิม
แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะชุลมุนที่สุด

 ผู้ที่มีส่วนต่อการแพร่เชื้ออยู่ในคลัสเตอร์ใหญ่ ๆ จากสถานบันเทิง ก็กระจายไปในหลายพื้นที่ บางคนก็ปกปิดข้อมูลไทม์ไลน์ เมื่อมาประจวบเหมาะกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่รัฐบาลประกาศให้มีวันหยุดชดเชยหลายวัน ทำให้ผู้คนมีการวางแผนเที่ยวสงกรานต์ชดเชยจากปีที่แล้วที่งดวันสงกรานต์ แต่พอเชื้อโควิด 19 กลับมาระบาดหนัก ก็เลยทำให้ช่วงเทศกาลสงกรานต์กลายเป็นช่วงวันที่มีการกระจายเชื้อหนักหนา เพราะมีการเคลื่อนย้ายของผู้คนจำนวนมาก ส่งผลให้ตัวเลขเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีการคาดการณ์ว่าให้จับตาตัวเลขภายหลังสงกรานต์

 มาถึงตอนนี้ต้องยอมรับว่าเข้าสู่ช่วงชุลมุน เริ่มหาต้นตอไม่ได้แล้วว่าใครติดมาจากที่ไหน เมื่อไหร่ เพราะเมื่อไม่ได้เคร่งครัดกับไทม์ไลน์ และเมื่อเชื้อไม่ได้แสดงอาการในช่วงเวลานั้น ๆ ผู้คนก็ไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อหรือไม่ แต่ไปแสดงอาการในภายหลัง ซึ่งแตกต่างกันไปในรายบุคคลอีก ทีนี้ก็หาต้นตอกันแทบไม่ได้

 ประเด็นที่อยากเขียนถึงก็คือ เรากำลังกลับเข้าสู่การปฏิบัติตัวที่เริ่มจะปกติของสถานการณ์ที่ไม่ปกติซะแล้ว

 ครอบครัวของดิฉันกลับมาใช้ชีวิตด้วยการปฏิบัติตัวอย่างเคร่งคัดเหมือนเมื่อปีที่แล้ว คือเก็บตัวอยู่บ้าน ไม่จำเป็นก็จะไม่ออกไปเพ่นพล่านนอกบ้าน พยายามดูแลสุขภาพของทุกคนในบ้าน กลับมา Work From Home ส่วนลูกก็ Learn From Home ซึ่งก็เรียนมาได้ปีกว่า ๆ แล้ว

 ที่ผ่านมาดิฉันเองก็พยายามมองหาข้อดีของโควิด 19 เพราะเราต้องอยู่กับมันให้ได้ และพยายามปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเอง เพื่อไม่ให้กระทบกับสังคมโดยรวม

 แต่การระบาดรอบนี้เกิดจากความมักง่ายของผู้คนจำนวนหนึ่งที่ขาดจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อส่วนรวม บางคนปิดบังไทม์ไลน์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ตัวเองก็รู้ว่าทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและไม่อยากให้ใครรู้ จึงเลือกหนทางปิดบังและขาดสำนึกความรับผิดชอบต่อส่วนรวม จนกลายมาเป็นประเด็นให้ผู้คนก่นด่ากันทั้งเมือง

 ผลที่ตามมากระทบต่อสังคมมากกว่าที่คิด นอกจากจะเกิดคลัสเตอร์ใหญ่ และแพร่เชื้อไปอย่างรวดเร็ว แต่ผลกระทบประการที่สำคัญอีกอย่างที่มิอาจละเลยได้ก็คือ ผลกระทบที่ส่งไปถึงเด็กและเยาวชนซึ่งได้เห็นพฤติกรรมต่าง ๆ ของผู้ใหญ่ที่เป็นแบบอย่างอย่างไม่น่าเอาเยี่ยงอย่าง

 ประการแรก – ทำผิดแล้วปิดบัง


 เด็กเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้ของผู้ใหญ่ย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ แทบจะรายวัน ปิดบังไทม์ไลน์บ้าง ไม่พูดความจริงบ้าง โกหกบ้าง ทั้งที่ผู้ใหญ่เองก็พร่ำสอนว่าการโกหกหรือไม่พูดความจริงเป็นเรื่องไม่ดี และเมื่อเกิดคำถาม ผู้ใหญ่ก็ยากจะหาคำตอบได้

 ประการที่สอง – บอกให้ระวังแต่ทำเอง

 เด็กได้รับการสอนมาโดยตลอดว่าให้ดูแลและป้องกันตัวเองจากโควิด 19 ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร และพยายามปฏิบัติตัวอย่างเคร่งคัด หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด แต่สิ่งที่เขาเห็นกลายเป็นตัวอย่างของผู้ใหญ่ในสังคมที่ทำตัวให้เห็นเป็นข่าว

 ประการที่สาม – อะไรคือข่าวมั่วข่าวจริง


 ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤต เรามักจะพบข่าวลวงข่าวมั่วข่าวจริง และสุดท้ายก็แยกได้บ้าง แยกไม่ได้บ้าง แต่สุดท้ายข้อมูลและข้อเท็จจริงมักตามหลังเสมอ ทั้งที่ในช่วงวิกฤตการจัดการข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องมีการชี้แจงและเผยแพร่ให้ชัดเจน มิเช่นนั้นแล้วก็จะกลายเป็นข่าวลวง ในขณะที่คนที่เกี่ยวข้องมีความพยายามส่งต่อข้อมูลและรณรงค์ให้ผู้คนรู้เท่าทันสื่อ

 นี่เป็นเพียงตัวอย่างของพฤติกรรมที่ละเลยของผู้ใหญ่ที่มักละเลยว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อเด็กและเยาวชนเช่นกัน ยังไม่นับเรื่องการบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤตที่ต้องการภาวะผู้นำที่เหมาะสมจากผู้นำที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ที่เป็นแบบอย่างของการบริหาร การจัดการ และการสื่อสาร ฯลฯ

 ที่ผ่านมาผู้ใหญ่มักเรียกร้องอยากให้เด็กและเยาวชนเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ อยากให้มีคุณภาพ แต่ผู้ใหญ่มักละเลยและไม่สนใจพฤติกรรมของตัวเองที่ได้กลายเป็นแบบอย่างให้กับพวกเขาเสมอ !


กำลังโหลดความคิดเห็น