"เราจะมีความหวังได้อย่างไร หากมองไปแล้วมีแต่ความมืดมน"
เรามักส่งเสริมให้มนุษย์ใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มองโลกในแง่บวกที่จะมีแต่สิ่งที่สวยงาม แต่เราลืมไปว่ามันยากมากสำหรับคนที่อดีตชีวิตมีแต่ความล้มเหลว ผิดหวัง และเรื่องราวสะเทือนใจ เพราะสมองส่วนที่ใช้ในการจินตนาการของเหตุการณ์ข้างหน้านั้นทำงานทับซ้อนกับสมองส่วนความจำอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นไม่แปลกเลยที่เรามักคาดคะเนถึงเหตุการณ์ในอนาคตโดยอิงอยู่บนเรื่องราวของอดีตที่ผ่านมา เพราะสมองที่ใช้ในการคิดคาดคะเนนั้นทำงานควบคู่กับสมองส่วนฮิบโปแคมปัสซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ในการบันทึกจดจำข้อมูล ดังนั้น การมองโลกในแง่ร้าย ไม่ได้มาจากนิสัย หรือความผิดปรกติ แต่มาจากความเป็นจริงของร่างกายมนุษย์
เพราะชีวิตที่ผ่านมาเจอแต่สิ่งที่เลวร้าย เป็นเรื่องปรกติ เมื่อเรานึกถึงวันข้างหน้าเราอดที่จะคิดถึงเรื่องราวในอดีตไม่ได้ ดังนั้นไม่แปลกเลยหากคนที่เกิดมาร่ำรวยจะหลงคิดว่าจะมีเงินใช้ไปทั้งชาติ หรือคนที่ชีวิตมีแต่ความผิดหวังก็มักจะคิดว่าชีวิตข้างหน้าคงไม่ต่างจากนี้ไปมากนัก คนตกงานก็มักคิดว่าคงหางานยาก และชีวิตข้างหน้าคงลำบาก ส่วนคนที่อกหักก็มักคิดว่ายากที่จะหารักแท้
แต่สิ่งที่คิดเหล่านี้ไม่เป็นความจริงของธรรมชาติแม้แต่น้อย เพราะอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน และอนาคตที่จะเกิดขึ้นก็อาศัยปัจจัยของอนาคต หากยังนึกภาพถึงการเปลี่ยนแปลงที่ไม่แน่นอนไม่ออก ขอให้เรานึกถึงช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าชีวิตของเรามีอะไรเกิดขึ้นแตกต่างไปจากเดิมมากมาย ทั้งในเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องคน เรื่องรสนิยม อาหารการกิน นั่นคือการทำงานของอนาคตที่เปลี่ยนแปลงแบบที่มนุษย์ไม่สามารถคาดเดาได้
ดังนั้นเราควรฝึกใช้ชีวิตอย่างมีพลัง มองวันข้างหน้าอย่างมีความหวัง แม้สิ่งที่เราได้เจอมาจะไม่สวยงามนัก
"ไม่มีใครเกิดมาโง่ทุกวันจนตาย และไม่มีใครเกิดมาฉลาดค้ำฟ้าตลอดกาล" เพียงแต่มนุษย์มักลืมในสัจธรรมของความไม่แน่นอน และกายภาพของสมองของมนุษย์ที่โน้มนำให้นำเรื่องในอดีตมาตัดสินอนาคต
อาจารย์ เดเนียล กิลเบิร์ต (Daniel Gilbert) นักจิตวิทยาและศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ทำการศึกษาถึงความสามารถในการคาดเดาถึงความเปลี่ยนแปลงในอนาคตเมื่อเทียบกับการรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในอดีตที่ผ่านมาของกลุ่มผู้ถูกสำรวจจำนวน 19,000 คน ที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 18-68 ปี การสำรวจครั้งนี้ได้ให้ผู้ถูกสำรวจประเมินว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมาของชีวิต กับ ให้คิดว่าอะไรจะเปลี่ยนแปลงไปอีก 10 ปีข้างหน้า ผลการสำรวจพบว่า ไม่ว่ากลุ่มผู้ถูกสำรวจจะอยู่ในช่วงวัยใด เพศอะไร หรือมีบุคลิกภาพอย่างไร พวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกเหมือนกันว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชีวิตมากจริง ๆ ในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่แปลกคือ พวกเขาเหล่านั้นกับยังคงยืนยันว่าเราไม่เชื่อว่า 10 ปีข้างหน้า ชีวิตของพวกเขาจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากไปกว่าปัจจุบัน
ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง ผันแปรตามเหตุปัจจัยที่หลายครั้งเราควบคุมมันไม่ได้ เมื่อสิบปีก่อนใครจะทราบว่าจะมี Covid-19 ระบาดทั่วโลก ทุกคนต่างขยายกิจการของตัวเอง แต่เมื่อวันนี้เกิดเหตุการณ์โรคระบาดกระทบกันทั่วหย่อมหญ้า แต่ในวันนี้เราก็สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความหวังได้ การที่เราไม่สามารถมองเห็นแสงที่อุโมงค์ปลายทางได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าทางออกนั้นไม่มีอยู่จริง
นีล พาศริชา (Neil Pasricha) นักเขียนผู้สร้างผลงานระดับ New York Times Bestseller ได้เล่าถึงประสบการณ์ตอนที่เขาเคยทำงานฝ่าย HR และจำเป็นต้องไล่พนักงานออกในช่วงที่บริษัทกำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤต เขาเล่าว่าเมื่อพนักงานเหล่านั้นได้ฟังข่าวร้าย พวกเขาทำตัวไม่ถูกและมักโอดครวญว่าไม่รู้จะทำยังไงต่อดีกับชีวิต และเชื่อในขณะนั้นว่าพวกเขาจะไม่มีวันหางานใหม่ได้อีกแล้ว แต่ภายหลังที่นีลได้พบกับพนักงานที่โดนไล่ออก อดีตพนักงานหลายคนกลับแชร์ประสบการณ์โชคร้ายในครั้งนั้น ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับชีวิต เพราะมันทำให้พวกเขาเดินหน้าไปสู่โอกาสใหม่ที่ไม่เคยคาดคิด บางคนได้ออกไปท่องโลกกว้าง ตัดสินใจเปลี่ยนสายอาชีพใหม่และรักในสิ่งที่ทำ บางคนไปทำงานในบริษัทเล็ก ๆ ได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ คนที่เค้ารัก
การมองชีวิตด้วยความเป็นกลาง ไม่ประณาม กล่าวโทษ ไม่จับผิด และมองด้วยจิตใจที่รับทราบว่าของทุกอย่างไม่เที่ยง และมองด้วยจิตใจที่เป็นกลาง จะทำให้เรามีสติแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ เคล็ดลับง่าย ๆ จากหนังสือ The Book of Awesome โดย นีล พาศริชา ได้เขียนไว้เกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้ชีวิตยอดเยี่ยม โดยหลักการ 3 A's ดังนี้
1. Attitude ทัศนคติ เมื่อมีปัญหาทางเลือกของมนุษย์จะเหลือสองทาง คือ จมปลักกับความทุกข์ หรือลุกขึ้นสู้ไปทีละก้าวเล็ก ๆ ไม่ว่าความเจ็บปวดนั้นยังไม่จางหายไป
2. Awareness ตระหนักรู้ รับรู้กับเรื่องราวรอบตัวของชีวิต ใส่ใจ ขอบคุณกับเรื่องราวใหม่ ๆ ที่เข้ามาในชีวิต
3. Authenticity เป็นตัวของตัวเอง เข้าใจ และมองตัวเอง อย่าเอาแต่มองชีวิตของผู้อื่น อยู่กับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
เมื่อเราสามารถข้ามผ่านความทุกข์ที่ผ่านมา โดยที่บาดแผลนั้นยังไม่หายดีก็ตาม เราก็สามารถมีความสุขกับเรื่องเล็ก ๆ ง่าย ๆ ในชีวิตได้ และมันก็คงไม่ยากที่ชีวิตจะก้าวไปข้างหน้าพบเจอสิ่งที่ดีกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพันทวี
ครูฮ้วง
-----------------
ครูฮ้วง-เสาวลักษณ์ ลี้รุ่งเรืองพร เจ้าของสถาบัน Campus Genius Center ผู้สอนหลักสูตรติวเข้มเพื่อการสอบ SAT ด้วยแนวคิดแบบ Critical Thinking ที่ช่วยให้นักเรียนสามารถยื่นคะแนนเข้าเรียน และประสบความสำเร็จในการเรียนคณะอินเตอร์ทั้งในและต่างประเทศ