รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ติดตามนโยบายคลินิกผู้สูงอายุ โรงพยาบาลกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ให้ลูก-หลาน ได้พาผู้สูงอายุพบแพทย์ในช่วงวันหยุด ร่วมรับทราบปัญหาสุขภาพ ลดการรอคอยรักษา ลดความแออัดในช่วงวันทำการ ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
เมื่อวันที่ 21 มี.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ติดตามความคืบหน้านโยบายคลินิกผู้สูงอายุ วันหยุดราชการ ที่ โรงพยาบาลกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยนายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้โรงพยาบาลทั่วไปตั้งแต่ขนาดเล็กขึ้นไป จัดบริการคลินิกผู้สูงอายุในช่วงวันหยุดราชการ เพื่อให้บุตรหลานได้มีโอกาสพาผู้สูงอายุได้มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาล เพื่อร่วมรับทราบปัญหาสุขภาพ ที่สำคัญคือไม่ต้องต่อคิวเพื่อรอรักษาที่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ผู้สูงอายุคือหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงที่เมื่อติดเชื้ออาจทำให้มีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ ดังนั้น การมาพบแพทย์ในช่วงวันหยุดนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อจากความแออัดที่โรงพยาบาลแล้วยังมีความสะดวก และเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นในครอบครัวได้ด้วย
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า คลินิกผู้สูงอายุโรงพยาบาลกันทรลักษ์ เปิดให้บริการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ทั้งในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ทันตกรรม เวชศาสตร์ครอบครัว เป็นต้น ใช้เวลาในการรับบริการโดยประมาณ 15-20 นาทีเปิดให้บริการในช่วงเวลา 08.00-12.00 น. ทุกวันเสาร์ เริ่มเปิดรับผู้ป่วยมาตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2564 หากคลินิกได้รับการตอบรับที่ดีจะมีการขยายบริการเพิ่มเติมไปยังกลุ่มโรคอื่นๆ ด้วย
“ผู้สูงอายุคือผู้ที่มากประสบการณ์ หลายท่านยังสามารถใช้ความรู้ความสามารถให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม และผู้อื่นได้ การที่ผู้สูงอายุแข็งแรง มีสุขภาพที่ดี เข้าถึงการดูแลสุขภาพจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยให้ท่านเหล่านี้มีอายุที่ยืนยาวและถ่ายทอดองค์ความรู้ต่างๆ ที่เคยใช้มาให้กับลูก-หลานในการดำเนินชีวิตได้อีกมาก” นายอนุทิน กล่าว
ภายหลังการเปิดและตรวจเยี่ยมคลินิกผู้สูงอายุแล้ว นายอนุทิน ได้กล่าวทักทายกับพยาบาล และย้ำในประเด็นการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ว่า
“วัคซีนทุกหยดมีคุณค่า ขอให้พยาบาลได้ใช้ความชำนาญ และความละเอียดในการดูดวัคซีนโควิด-19 ออกจากขวด ให้ได้ 12 เข็ม ซึ่งผู้ผลิตวัคซีนได้เพิ่มปริมาณเผื่อไว้ในขวดประมาณ 10% ตามมาตรฐานการบรรจุ World experience ซึ่งปกติสามารถฉีดได้ 10 เข็มต่อขวด จะช่วยให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงของประเทศได้รับการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมจำนวนประชากรมากขึ้น การป้องกันโรคมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยที่รัฐไม่ต้องจ่ายเงินในการซื้อวัคซีนเพิ่ม” นายอนุทิน กล่าว