xs
xsm
sm
md
lg

แพทย์เตือนภัย “โรคเนื้อเน่าหรือแบคทีเรียกินเนื้อคน” ระบาดหนักช่วงหน้าฝน หากติดเชื้อ-รักษาไม่ถูกต้อง อาจเสียชีวิตได้

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ชี้ โรคเนื้อเน่า หรือแบคทีเรียกินเนื้อคน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย ส่วนใหญ่จะระบาดในฤดูฝน เตือนเกษตรลงดำนาลุยโคลน การติดเชื้อมักมีอาการรวดเร็ว และรุนแรง ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและถูกต้อง อาจนำมาซึ่งการสูญเสียอวัยวะและอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้

วันนี้ (13 ส.ค.) นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคเนื้อเน่า (Necrotizing fasciitis) หรือแบคทีเรียกินเนื้อ เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อซึ่งส่วนมากมักเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย โดยอาจเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงชนิดเดียว(monomicrobial) หรืออาจเป็นจากการติดเชื้อแบคทีเรียหลายๆ ชนิดพร้อมกัน (polymicrobial) ก็ได้ ตัวอย่างของเชื้อที่พบได้ เช่น Group A Streptococcus (S. pyogenes), Anaerobic streptococci, Coagulase-negative Staphylococcus, Enterobacteriaceae, Vibrio subspecies ซึ่งเชื้อเหล่านี้จะเข้าสู่ผิวหนังผ่านทางบาดแผล หรือรอยแตกของผิวหนัง และเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะสามารถสร้างเอนไซม์มาย่อยสลายเนื้อเยื่อในร่างกายของผู้ที่ได้รับเชื้อเข้าไป ทำให้มีการกระจายของเชื้อไปได้อย่างรวดเร็วในชั้นใต้ผิวหนังภายในระยะเวลาไม่นานนัก โรคเนื้อเน่าพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่คนที่มีโรคประจำตัวบางชนิดพบมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากกว่าคนอื่นๆ ซึ่งโรคดังกล่าว ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ตับแข็ง โรคมะเร็ง ไตวาย รวมถึงคนที่มีภาวะกดภูมิจากการใช้สารสเตียรอยด์ คนที่ใช้สารเสพติดฉีดเข้าเส้น คนที่มีปัญหาของหลอดเลือดบริเวณขา คนอ้วน สูบบุหรี่ และ คนที่ติดแอลกอฮอล์ เป็นต้น การระบาดของโรคเนื้อเน่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีประวัติไปดำนา ลุยโคลน และโดนหอย หรือเศษแก้วบาด เศษไม้ตำเท้า และไม่ได้ทำแผล หรือรักษาใดๆ เนื่องจากต้องทำนาให้เสร็จ ทำให้เชื้อโรคเข้าไปในบาดแผล และเพิ่มจำนวนจนเกิดอาการรุนแรงได้

แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อแล้วในระยะเริ่มแรกจะเริ่มมีอาการบวม แดง ปวด กดเจ็บในตำแหน่งที่มีการติดเชื้อ ถ้าไม่ได้รับการรักษา ผิวหนังบริเวณดังกล่าวจะบวมแดง หรือเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำอย่างรวดเร็วภายใน 36 ชั่วโมงหลังการติดเชื้อ พบมีตุ่มน้ำพองที่ผิวหนัง มีการตายของชั้นใต้ผิวหนังและผิวหนังบริเวณดังกล่าว เมื่อเป็นมากขึ้นเชื้อจะทำลายเส้นประสาท ทำให้อาการปวดที่พบในตอนแรกหายไป กลายเป็นชาบริเวณผิวหนังส่วนที่ติดเชื้อตามมาแทน อาการอื่นๆ ที่พบร่วมด้วย เช่น ไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว คลื่นไส้ อาเจียน ถ้าเป็นมากอาจมีหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กรณีไม่ได้รับการรักษา การติดเชื้อจะแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด รวมถึงอาจทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายล้มเหลว ทำให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกตัวลดน้อยลง ช็อค และเสียชีวิตตามมา การรักษาต้องรีบดำเนินการอย่างรวดเร็ว

ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยที่สงสัยโรคนี้ควรนอนรักษาในโรงพยาบาล โดยการรักษาหลักคือการผ่าตัดให้ลึกจนถึงชั้นฟาสเชียคือชั้นผังพืดที่ห่อหุ้มชั้นกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในร่างกาย และเอาเนื้อเยื่อบริเวณที่ตายออก ร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือด ซึ่งมักต้องให้ร่วมกันหลายชนิดเพื่อให้ครอบคลุมเชื้อที่ก่อโรค มีการให้สารอาหารอย่างเพียงพอในระหว่างการรักษา และต้องมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจเกิดตามมาได้ บางครั้งถ้าการติดเชื้อลุกลามมากอาจต้องมีการตัดอวัยวะที่ติดเชื้อทิ้งไปเพื่อควบคุมไม่ให้การติดเชื้อลุกลามมากขึ้นได้ ดังนั้นการป้องกันการติดเชื้อโดยการระมัดระวังดูแลทำความสะอาดบาดแผลบริเวณผิวหนัง ไม่แกะเกาบริเวณผื่นหรือแผลที่มีอยู่เดิม จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญเพื่อลดโอกาสของการเกิดโรคดังกล่าว รวมถึงควรหมั่นสังเกตตนเอง ถ้าพบว่ามีบาดแผล ที่มีอาการปวดบวมแดง หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ บริเวณแผล ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาก่อนที่โรคจะมีการลุกลามติดเชื้อรุนแรงมากยิ่งขึ้น




กำลังโหลดความคิดเห็น