ศบค.รายงานผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่ม 3 ราย มาจากต่างประเทศ พบสถานกักตัวหละหลวม ปล่อย “ทหารอียิปต์” ออกจากโรงแรมบินไปทำภารกิจทหารที่จีนก่อนกลับมาแล้วตรวจพบเชื้อ คนร่วมคณะอีก 30 รายไม่พบเชื้อ แต่มีไปห้างฯ ในระยอง ด้าน ด.ญ.จากซูดานป่วยโควิด มาพร้อมครอบครัว พบไม่ได้พักในสถานทูต แต่ไปพักในคอนโดฯ กทม. เร่งสอบสวนโรคแล้ว
วันนี้ (13 ก.ค.) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงข่าวสถสนการณ์โรคโควิด-19 ประจำวันว่า วันนี้มีผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายใหม่ จำนวน 3 ราย กลับบ้านเพิ่ม 2 ราย ไม่มีเสียชีวิตเพิ่มเติม ผู้ป่วยสะสมรวม 3,220 ราย หายกลับบ้านรวม 3,090 ราย เสียชีวิตรวม 58 ราย ยังรักษาตัวใน รพ.72 ราย สำหรับผู้ป่วยรายใหม่เดินทางมาจากต่างประเทศ เข้าพักในสถานเฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) โดยไม่มีการติดเชื้อภายในประเทศเป็นวันที่ 49
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ผู้ป่วยรายใหม่มาจาก 1. คูเวต เป็นเพศชาย อายุ 48 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงไทยวันที่ 29 มิ.ย. เข้าพักสถานเฝ้าระวังที่ กทม. ตรวจหาเชื้อครั้งแรกวันที่ 2 ก.ค. ไม่พบเชื้อ และตรวจซ้ำวันที่ 11 ก.ค. จึงพบเชื้อ แต่ไม่มีอาการ ย้อนถามประวัติเสี่ยง พบว่า เป็นช่างทั่วไปของบริษัทแห่งหนึ่งตั้งแต่ พ.ย. 2562 พักในแคมป์คนงาน ที่มีผู้ป่วยยืนยันจำนวนมาก โดยพบผู้ป่วยในเที่ยวบินเดียวกันก่อนหน้านี้ 10 ราย
2. บาห์เรน 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 22 ปี เดินทางถึงไทยวันที่ 12 ก.ค. โดยผ่านการคัดกรองด่านควบคุมโรค พบว่ามีอาการเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค คือ มีไข้ จึงส่งตรวจหาเชื้อวันที่ 12 ก.ค. ผลตรวจพบเชื้อ
3. อียิปต์ 1 ราย เป็นชายสัญชาติอียิปต์ อายุ 43 ปี อาชีพทหาร เดินทางถึงไทยวันที่ 8 ก.ค. เข้าพักสถานเฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ จ.ระยอง วันที่ 9 ก.ค. ออกจากโรงแรมไปทำภารกิจทางทหารที่ประเทศจีน และกลับมาในวันเดียวกันเกือบเที่ยงคืน และเข้าพักโรงแรมแห่งเดิมใน จ.ระยอง วันที่ 10 ก.ค.ตรวจพบเชื้อ แต่ผลยังไม่ค่อยชัดเจนจึงตรวจอีกครั้ง โดยวันที่ 11 ก.ค. เดินทางกลับไปประเทศต้นทาง และผลตรวจออกวันที่ 12 ก.ค.ว่าพบเชื้อ
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ทหารนายนี้เดินทางเข้ามาในลักษณะของลูกเรือ ตามข้อกำหนดมาตรา 9 ฉบับที่ 6 ที่ระบุคน 11 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ควบคุมยานพาหนะ และเจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะจำเป็นต้องเดินทางเข้ามาตามภารกิจ และมีกำหนดเวลาเดินทางออกนอกราชอาณาจักรที่ชัดเจน ซึ่งกลุ่มนี้เข้ามาได้แต่จะมีที่พักให้ เดิมเป็นโรงแรมแถวสุวรรณภูมิ แต่เนื่องจากมีเที่ยวบินเข้ามามากทำให้ทหารและลูกเรือชุดนี้จำนวน 31 คน เดินทางเข้ามาและลงที่สนามบินอู่ตะเภาแทน ส่วนอีก 30 คนที่เหลือตรวจแล้วไม่พบเชื้อ
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ไทม์ไลน์ของการเดินทางเข้ามาของทหารนายนี้ คือ วันที่ 6 ก.ค. เดินทางจากกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ วันที่ 7 ก.ค. เดินทางจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไปยังปากีสถาน วันที่ 8 ก.ค. เดินทางเข้ามายังท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง อ.เมืองฯ จ.ระยอง วันที่ 9 ก.ค. ออกจากโรงแรมไปท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา เพื่อไปทำภารกิจทางการทหารที่เมืองเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน และเดินทางกลับมาวันเดียวกัน เข้าพักโรงแรมที่เดิม จ.ระยอง วันที่ 10 ก.ค. เข้าคัดกรองทั้งคณะที่เดินทางมา 31 ราย วันที่ 11 ก.ค.เดินทางกลับออกไป แต่วันนั้นผลออกมากำกวมยังไม่แน่ชัด จึงส่งตรวจซ้ำอีกครั้ง ผลออกวันที่ 12 ก.ค.ว่ายืนยัน
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องพูดคุยกันอย่างมากในที่ประชุม ศบค. ซึ่งเดิมกลุ่มลูกเรือเราใช้โรงแรมแถวสุวรรณภูมิ แต่ครั้งนี้มาลงสนามบินอู่ตะเภา ทำให้มาตรการของการคุมเข้มในเรื่องตรงนี้มีข้อต้องทบทวนปฏิบัติกันใหม่ซึ่งทีมสอบสวนโรคยังพบว่า ทีมลูกเรือนี้ได้ออกจากโรงแรมไปยังสถานที่บางแห่งใน จ.ระยอง โดยทีมจะสอบสวนโรคในพื้นที่สัมผัสทุกแห่งที่กลุ่มนี้เดินทางไป ตอนนี้พอมีบางแห่ง เช่น ห้างสรรพสินค้าบางแห่งในระยอง ถ้าท่านคิดว่ามีความเสี่ยงหรือสัมผัส ให้โทร.เข้ามายัง 1422 นอกจากนี้ โรงแรมดังกล่าวที่ จ.ระยอง ถือว่าเป็นสถานที่สัมผัสกับผู้ที่พบเชื้อ ฉะนั้น การเข้าไปสอบสวนโรค ต้องครอบคลุมโรงแรมนี้ทั้งหมด
“ตอนนี้ยังไม่มีข้อเสียหายที่เป็นประเด็น ถ้าคุมโรคได้ปิดจุดอ่อน กำหนดข้อปฏิบัติให้ละเอียดยิ่งขึ้น ข่าวนี้ข้อดีคือขอให้รับทราบว่าใกล้ตัวเรามาก เพราะไม่ได้เกินกว่าความคิดที่จะบอกว่ามีระลอกสองใกล้เข้ามาแล้ว ขอให้ดูแลตัวเองอย่างดี ปลอดโรคปลอดภัยนานเท่านาน” นพ.ทวีศิลป์กล่าว
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า นอกจากนี้ เคสผู้ป่วยเด็กหญิงอายุ 9 ปี ที่รายงานเมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเดินทางมาจากภูมิภาคแอฟริกา โดยมาพร้อมครอบครัวของคณะทูต โดยวันที่ 7 ก.ค. เดินทางมาจากซูดาน ซึ่งมารดานำผู้ป่วยและครอบครัวรวม 5 คน ตรวจเชื้อก่อนเดินทางแต่ไม่พบเชื้อ เดินทางถึงไทยวันที่ 10 ก.ค. เมื่อมาถึงได้ตรวจคัดกรอง ไม่มีอาการ จึงเก็บตัวอย่างส่งตรวจและพบเชื้อ บิดานำผู้ป่วยเข้ารับการรักษาใน รพ.เอกชนแห่งหนึ่งใน กทม. โดยตรวจซ้ำว่าพบเชื้อ วันที่ 11 ก.ค. ผลตรวจแพทย์พบปอดอักเสบ ส่งต่อมายัง รพ.รัฐแห่งหนึ่งใน กทม. แต่มีการนำสมาชิกครอบครัวที่เหลือไปพำนักที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งใน กทม. ทั้งที่กลุ่มคณะทูต คณะกงสุล องค์การระหว่างประเทศ หรือผู้แทนรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐต่างประเทศที่มาปฏิบัติงานในประเทศไทย เราให้เกียรติโดยให้กักตัวในสถานทูต ในพื้นที่ของท่าน 14 วัน ดังนั้น เราต้องกำหนดมาตรการโดยละเอียดให้ครอบคลุมมากกว่านี้ และขอให้กระทรวงการต่างประเทศประสานสถานทูตทุกแห่งถึงเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ทีมสอบสวนโรคจะต้องเข้าไปสอบสวนในพื้นที่คอนโดฯ แห่งนี้ด้วย
“การกักกันในที่พำนักบุคคลดังกล่าวภายใต้การควบคุมของหน่วยงานต้นสังกัด ซึ่งหมายความว่าให้สถานทูตเป็นต้นสังกัด และเราเชื่อใจกัน เรื่องต่างๆ เหล่านี้เราเข้าใจว่าสถานทูตจะมีพื้นที่อาณาบริเวณ เป็นอาณานิคม พื้นที่ของท่านก็ให้เกียรติ พอมาเจอแบบนี้สถานที่พำนักกลายเป็นคอนโดขึ้นมา ก็ต้องกำชับกัน มีการขอให้ร่วมกันรับผิดชอบอย่างดี อาจมีมาตรการมากขึ้น โดยกระทรวงการต่างประเทศ จะทำความเข้าใจสถานทูตต่างๆ เพื่อขอความร่วมมือ เพื่อทำให้เกิดความเรียบร้อยมากขึ้น เรียนรู้ไปด้วยกันว่าต้องเป็นแบบนี้ 14 วันในสถานที่ของท่านโดยไม่ต้องออกมา” นพ.ทวีศิลป์กล่าว