ถ้าเอ่ยถึง โอที รัฐธนินท์ จิรวัฒน์โภคิน เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะเคยเห็นเขาในบทบาทนักแสดง แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ในชีวิตจริงนั้น เขารับบทบาทนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง หนึ่งในผู้บริหารของ บริษัท กัสโต้ รับเบอร์ วู้ด ดีไซน์ จำกัด ที่มีหัวคิดก้าวหน้า จนนำพาให้ธุรกิจของเขาสามารถทำรายได้ถึงหลักร้อยล้าน ในขณะที่สภาพเศรษฐกิจไทยชะลอตัว
หลักคิดที่ทำให้เขาทะลุโจทย์ธุรกิจจนประสบความสำเร็จคืออะไร ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกัน
เรียนรู้ ‘เรื่องล้ม’ จากประสบการณ์จริง
เพราะครอบครัวเคยตกอยู่ในสถานะล้มละลาย จากจุดสูงสุดสู่จุดต่ำสุด คุณโอทีจึงได้สัมผัสกับประสบการณ์ชีวิตที่หลากรส สุขสุดขีด เศร้าสุดกู่ แต่ไม่เคยนึกท้อ และกลับนำประสบการณ์นั้นมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจเพื่อไม่ให้พลาดพลั้งเช่นอดีตที่ผ่านมา
“คุณพ่อผมท่านเป็นคนเก่งและขยันมาก” คุณโอทีเกริ่นก่อนนิ่งไปสักพัก
“คุณพ่อสามารถสร้างตัวในวัยเพียง 22 ปี ในยุคนั้นท่านสามารถหารายได้เข้าบ้านเป็นหลายสิบล้าน ด้วยธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเป็นสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาดอยู่แล้ว ทำให้โอกาสในการขายมีสูงมาก เรียกได้ว่า อยู่เฉยๆ ก็ขายได้เอง แต่คุณพ่อไม่ได้มีความรู้เรื่องทำแบรนด์ดิ้ง และไม่ได้มีความรู้ในเรื่องของการตลาดเลย ธุรกิจเป็นลักษณะเน้นผลิตและขายอย่างเดียว พอมาถึงจุดหนึ่งที่เศรษฐกิจเริ่มถดถอย โลกธุรกิจเริ่มเปลี่ยน รวมถึงประสบวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ก็เลยส่งผลให้ธุรกิจพังไม่เป็นท่า ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะขาดเรื่องการวางแผนตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ รวมไปถึงปัจจัยสำคัญที่สุดคือเรื่อง แบรนด์ดิ้ง
สิ่งนี้เองทำให้ผมเรียนรู้ว่า การมุมานะเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะถ้าในยุคนั้นคุณพ่อมีโอกาสได้ศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย ผมเชื่อว่าวันนี้ธุรกิจของคุณพ่อจะต้องยิ่งใหญ่ไม่เป็นสองรองใครในตลาดเฟอร์นิเจอร์อย่างแน่นอนครับ” คุณโอทีย้อนอดีตให้เราฟัง
เชื่อมั่นว่า การศึกษาจะไม่ทำให้ธุรกิจ ‘ล้มระเนระนาด’
ล้มระเนระนาด ล้มไม่เป็นท่า กว่าจะลุกได้ต้องใช้เวลานานกว่าคนอื่นมาก สิ่งที่คุณโอทีเล่าให้เราฟัง ในห้วงความคิดคุณโอทีเชื่อว่า การศึกษาคือแก่นสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างมั่นคง
“โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษามาก และเชื่อว่า การศึกษาคือแรงกระตุ้นเชิงบวกที่ช่วยให้มนุษย์มีพลังขับเคลื่อนไปไกลมากกว่าเดิม เพราะการศึกษาคือการหล่อหลอมศักยภาพทางความรู้ ช่วยพัฒนาความคิด จัดระเบียบความคิด และมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้เราวางแผนอย่างเป็นระบบเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างเป็นรูปธรรม”
เพราะต้องดำเนินธุรกิจของครอบครัวต่อ คุณโอทีจึงเลือกศึกษาในสายงานบริหาร เพื่อนำสิ่งที่เรียนมาปรับใช้ในชีวิตการทำงานจริง “ผมจบปริญญาตรี สาขาวิชาการตลาด และต่อด้วยระดับปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยรังสิต เพราะงานที่ทำอยู่เป็นธุรกิจที่ดินจัดสรร และโรงงานผลิตไม้แปรรูป ไม้ประตู ไม้พื้นบันได ให้กับโครงการหมู่บ้านจัดสรรต่างๆ รวมถึงธุรกิจตกแต่งภายในให้กับองค์กรต่างๆ ผมจึงเห็นอุปสรรคของธุรกิจในแง่ที่ว่า เติบโตมาก ต้นทุนมาก แต่รายได้เท่าเดิม หรือบางทีอาจจะลดลงกว่าเดิม ซึ่งนี่แสดงว่าธุรกิจเรากำลังมีปัญหาบางอย่าง
จนกระทั่งผมมีโอกาสได้ไปดูงานจากบริษัทอื่นเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งบางโรงงานไม่ได้มีธุรกิจใหญ่โตเท่าเรา แต่กลับมีเม็ดเงินและกำไรมากกว่า ด้วยกลยุทธ์ ‘ลดคน เพิ่มเครื่องจักร’ ซึ่งนี่คือเรื่องของโลจิสติกส์ เหตุนี้เองผมจึงตัดสินใจเรียนต่อระดับปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์ เพื่อนำมาปรับใช้ให้ธุรกิจเติบโตและสามารถลดต้นทุน เพิ่มผลกำไรได้ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ซึ่งสาขาวิชานี้สามารถช่วยธุรกิจของผมได้จริง เพราะหลังจากเรียนจบผมได้นำความรู้ที่ได้กลับมาปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงานบริษัท เน้นลดคน เพิ่มเครื่อง และเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า จนกระทั่งหลายปีที่ผ่านมาก็ยังสามารถสร้างยอดขายให้บริษัทได้ถึงหลักร้อยล้าน” คุณโอทีกล่าว
ในยุคที่เศรษฐกิจชะลอตัว ผนวกกับการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี การลดต้นทุนตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ดูจะเป็นคำตอบสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจไปรุ่งไม่มีร่วง ดังที่คุณโอทีได้กล่าวมา
ฉะนั้น เราอาจสรุปได้ว่า ถ้าการตลาดคือหัวใจของธุรกิจ โลจิสติกส์ก็คือมันสมอง ที่ช่วยประคองธุรกิจในยุค 2020 ให้อยู่รอดได้โดยมิต้องสงสัย…