“จิตรลดา” ก่อเหตุแทงเด็กดับ 2 วันก่อนมาพบแพทย์ เผยมีนัดตรวจติดตามวันที่ 31 มี.ค. สถาบันกัลยาณ์ฯ ระบุคนไข้กลับไปใช้ชีวิตในสังคมมา 10 ปีแล้ว เมื่อมีอาการกำเริบจึงเข้ามารักษา ต้องรอประเมินคนไข้ว่าสาเหตุอาการกำเริบเกิดจากอะไร แต่ละครั้งแตกต่างกันได้ ยันผู้ป่วยจิตเภทอาศัยอยู่ร่วมในสังคมได้
วันนี้ (30 มี.ค.) นพ.ศรุตพันธ์ จักรพันธุ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ กล่าวถึงกรณี น.ส.จิตรลดา ตันติวาณิชยสุข ผู้ป่วยโรคจิตเภทที่เคยก่อคดีไล่แทงนักเรียนโรงเรียนเซนต์โยแซฟคอนแวนต์กรุงเทพ บาดเจ็บ 4 ราย เมื่อปี 2548 โดยกลับมาก่อเหตุซ้ำแทงเด็กอายุ 5 ขวบเสียชีวิต ว่า น.ส.จิตรลดาเป็นคนไข้ที่รักษากับสถาบันกัลยาณ์ฯ มาตลอด ตั้งแต่เมื่อครั้งก่อคดีเมื่อปี 2548 โดยช่วง 10 ปีหลังสุดก็มีการเข้า รพ.6 ครั้ง เพราะมีช่วงที่รักษาดีกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้ และพออาการกำเริบก็กลับมารักษาใน รพ. โดยครั้งสุดท้ายที่ออกจาก รพ.คือเมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา และเรานัดติดตามวันที่ 31 มี.ค. แต่ว่าเกิดเหตุการณ์ก่อน ก็เสียใจกับผู้ที่สูญเสียด้วย
เมื่อถามถึงปัจจัยที่ทำให้ น.ส.จิตรลดามีอาการกำเริบ นพ.ศรุตพันธ์กล่าวว่า ตอนนี้คนไข้ยังอยู่ที่ รพ.นครปฐม เพื่อดูอาการทางกาย คนไข้ทุกคนจะต้องมีการดูอาการทางกายก่อนว่ามีอะไรหรือไม่ ถ้าไม่มีอะไรก็จะส่งมาที่ รพ.จิตเวชต่อไป เพราะฉะนั้น กรณี นส.จิตรลดาจึงยังอยู่ในขั้นตอนนี้อยู่ และเมื่อส่งมาที่สถาบันกัลยาณ์ฯ ก็จะทำการประเมินอีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้เกิดอาการกำเริบ ตอนนี้ยังไม่สามารถตอบได้
ถามต่อว่ากรณีที่ น.ส.จิตรลดากลับมาเข้า รพ.ในหลายๆ ครั้งเพราะอาการกำเริบเกิดจากสาเหตุใด นพ.ศรุตพันธ์กล่าวว่า เท่าที่ดูประวัติคร่าวๆ คือ มีอาการขึ้นๆ ลงๆ มีก้าวร้าว มีอาการสับสนก็มารักษา พออาการดีก็กลับมาอยู่
เมื่อถามว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการกำเริบของ น.ส.จิตรลดา ในอดีตที่ผ่านมามาจากอะไร นพ.ศรุตพันธ์กล่าวว่า ตนยังไม่ได้ดูรายละเอียดของการกลับมารักษาแต่ละครั้ง แต่โดยทั่วไปเมื่ออาการกำเริบและกลับมารักษาก็ต้องดูปัจจัยเป็นครั้งๆ ไป ครั้งนี้ก็เช่นกันว่าอาจต้องรอให้คนไข้เข้ามาก่อนและรอประเมินถึงจะให้คำตอบได้ว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการกำเริบคืออะไร
ถามถึงกรณีทั่วๆ ไปที่ทำให้ผู้ป่วยจิตเภทเกิดอาการกำเริบ มีอะไรบ้าง นพ.ศรุตพันธ์กล่าวว่า ถ้าเป็นคนไข้ทั่วๆ ไป คือ โรคกำเริบมีหลอน มีแว่ว ระแวง กลัว อาจจะเป็นเรื่องของขาดยาก็ได้ หรือมีตัวกระตุ้นอื่น มีการใช้สารเสพติด หรือการถูกหลอก หรือเป็นเรื่องที่เขาคิดของเขาเอง ถึงบอกว่าแต่ละเคสเมื่อมีอาการกำเริบต้องมาประเมิน เพราะแต่ละครั้งอาจมีปัจจัยสาเหตุแตกต่างกันด้วย เช่น คนไข้คนเดียวกัน มาด้วยอาการเดียวกัน แต่สาเหตุอาจแตกต่างกันในแต่ละครั้งได้
ถามว่ากังวลหรือไม่ที่การก่อเหตุในครั้งนี้จะทำให้คนตีตราผู้ป่วยจิตเวช นพ.ศรุตพันธ์กล่าวว่า จริงๆ คนไข้อย่าง น.ส.จิตรลดา เขาไม่ได้เพิ่งออกจาก รพ. เขาออกมาอย่างนี้ 10 ปี และใช้ชีวิตอย่างปกติ เมื่อมีอาการก็เข้ามา จริงๆ ประเทศไทยมีคนไข้ผู้ป่วยจิตเภทอยู่ประมาณ 1% หรือ 5-6 แสนคน เขาก็อยู่อย่างนี้ แต่เคสนี้คือก่อความรุนแรงจริงและมีประวัติอยู่ แต่ครั้งนี้เป็นอะไรก็ต้องมาดูสาเหตุกัน ต้องฝากว่าจริงๆ เราอยู่ร่วมกันได้ เขาอยู่ในสังคมได้มาเป็น 10 ปี แต่เพิ่งมาเกิดเหตุการณ์นี้ ต้องมาดูว่าระบบในการติดตามดูแลซึ่งตอนนี้เรามีระบบ SMI-V ของกรมสุขภาพจิตร่วมกับทางพื้นที่ ลงไปติดตามเยี่ยมดูแล แต่เกิดอะไรขึ้นในครั้งนี้ต้องดูอีกที
ผู้สื่อข่าวถามถึงอาการของโรคจิตเภทมีข้อแตกต่างกันในแต่ละรายหรือไม่ นพ.ศรุตพันธ์กล่าวว่า อาการแรกๆ จะมีแว่ว มีหลอน มีเรื่องของหลงผิด มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป มีการพูดไม่รู้เรื่อง หรือกลุ่มที่อยู่นิ่งเฉย ไม่ทำอะไรเลย ก็มีหลายประเภท ส่วนที่จะมีความรุนแรงกับคนอื่น ต่อตัวเอง และสังคมหรือไม่ แต่ละคนจะมีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน ต้องมาดูเป็นรายๆ ไป ส่วนการที่พบว่ามีการทำร้ายคนอื่นๆ มาก คือเขากลัวว่าคนจะมาทำร้าย เพราะได้ยินเสียงคนสั่งก็พบได้ แต่ละเคสต้องมาดูในรายละเอียด ส่วนอาการที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากความผิดปกติของสารในสมอง ก็ทำให้มีอาการเสียงแว่ว เสียงคนคุยโดยไม่มีเสียงจริงๆ ทำให้เกิดอาการระแวง มีเสียงสั่งตลอดทั้งวันทั้งคืน เหมือนคนไข้โรคอื่นอย่างเบาหวาน ที่อินซูลินขาดก็ทำให้ช็อกหน้ามืดได้ พอสารในสมองเสียสมดุลก็ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ ก็น่าสงสารคนไข้ การรักษาจึงเป็นมีการให้ยา ด้วยไฟฟ้า การทำกลุ่มจิตบำบัด ครอบครัวบำบัด แล้วแต่ละคน