สธ.แถลงผู้ป่วยโควิด-19 เสียชีวิต 1 ราย แม้รักษาจนเชื้อหมดจากร่างกาย แต่เชื้อได้ทำลายปอดจนเสียหาย ทำให้อวัยวะหลายระบบล้มเหลว ถือเป็นรายแรกของไทย เป็นประเทศที่ 10 ของโลกที่เสียชีวิต ส่วนจะเสียชีวิตจากโควิด-19 หรือไม่ ต้องนำเข้าคณะวิชาการพิจารณา ชี้เชื้อลงปอดประมาณ 15-20% ก่อปอดอักเสบมากน้อยแค่ไหน ขึ้นกับสภาพร่างกาย ระบุผู้ป่วยรายนี้เป็นไข้เลือดออกก่อนหน้า ทำให้ร่างกายอ่อนแอ อ่อนล้า ปอดจึงถูกทำลายมาก ต้องใช้เครื่องเอคโมช่วย เพื่อให้ปอดฟื้นฟู แต่สุดท้ายก็ยังเสียชีวิต เผยรักษาหายเพิ่มอีก 2 ราย สรุปรวมป่วย 42 ราย รักษาหาย 30 ราย เสียชีวิต 1 เหลือรักษา 11 ราย
วันนี้ (1 มี.ค.) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ว่า ผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง 2 รายนั้น รายที่เป็นชายไทยอายุ 35 ปี ที่มีการใช้เครื่องช่วยพยุงการทำงานของปอด (เอคโม) ผู้ป่วยรายนี้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก เข้ารับการรักษาที่ รพ.เอกชน แต่ต่อมาพบว่ามีการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ร่วมด้วย จึงส่งต่อมารักษาที่สถาบันบำราศนราดูร โดยให้การรักษาในหลายวิธี ทั้งการให้ยาต้านไวรัส การให้แอนติบอดีของผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว จนผู้ป่วยรายนี้ไม่พบเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ. 2563 แต่ด้วยสภาพปอดที่เสื่อม หัวใจและอวัยวะภายในทำงานหนัก ทำให้อวัยวะภายในหลายระบบล้มเหลว จึงเสียชีวิตในที่สุด เนื่องจากตรวจไม่พบเชื้อแล้ว สาเหตุการเสียชีวิตจะเกี่ยวกับโรคโควิด-19 หรือไม่ จะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการวิชาการ ภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติต่อไป สำหรับอัตราการเสียชีวิต 1 ราย จากผู้ป่วย 42 ราย ก็อยู่ที่ประมาณ 2% ส่วนรักษาหาย 30 ราย ก็อยู่ประมาณ 75%
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า ส่วนอีกรายอายุ 70 กว่าปี มีวัณโรคร่วม ตรวจไม่พบเชื้อแล้ว 1 สัปดาห์เช่นกัน แต่ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ยังมีผู้รักษาหายเพิ่มอีก 2 ราย เป็นชายชาวจีนอายุ 33 ปี รายที่ 2 เป็นเด็กหญิงไทยอายุ 3 ขวบ ทั้งคู่อยูสถาบันบำราศนราดูร ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสมรวม 42 ราย รักษาหาย 30 ราย อยู่รักษาที่ รพ. 11 ราย เสียชีวิต 1 ราย สำหรับการประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตรายลำดับที่ 14 หลังประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 29 ก.พ.ที่ผ่าน ดังนั้น วันที่ 1 มี.ค. จึงมีผลบังคับใช้แล้ว ดังนั้น หากพบผู้ป่วยหรือผู้ต้องสงสัยว่าป่วยโรคโควิด-19 เจ้าของสถานที่ต่างๆ เช่น เจ้าบ้าน สถานประกอบการ โรงพยาบาลต่างๆ จะต้องรายงานภายใน 3 ชั่วโมง หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท สำหรับหน้ากากอนามัยที่จะแจกในวันที่ 2 มี.ค.นี้ เป็นหน้ากากอนามัยที่ได้รับการสนุนจากองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เพื่อบริจาคให้ประชาชน ซึ่งเป็นคนละส่วนกับที่จัดสรรให้กับสถานพยาบาล เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเรามีแผนการจัดสรรที่ชัดเจนอยู่แล้ว
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า ยืนยันว่าโรคนี้ป้องกันได้ พื้นฐานคือกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆ หากป่วยสวมหน้ากากอนามัย และเลี่ยงการไปอยู่ในพื้นที่คนหมู่มาก ไปพื้นที่ที่สุ่มเสี่ยง เช่น ประเทศที่มีความเสี่ยง ซึ่งขณะนี้ก็ยังมีคนไปอยู่เรื่อยๆ แล้วกลับมา แต่ละคนอาจต้องมีความรับผิดชอบ ไปแล้วกลับมาแล้วมีโอกาสเป็น หรือการจัดประชุมต่างๆ ก็อาจควรเลื่อน เลี่ยงไปก่อน หากจัดก็ต้องจัดอย่างมีความรับผิดชอบ มีแนวทางป้องกันตามมาตรฐาน คนป่วยต้องไม่ไปร่วมกิจกรรม ถ้าเราทำเคร่งครัดเช่นนี้ และไม่ตีตราคนเสี่ยง ไวรัสโคโรนา 2019 ป้องกันได้แน่นอน
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า ผู้ป่วยมารับการตรวจรักษาด้วยอาการของไข้เลือดออกตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค. 2563 ที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง แต่ภายหลังเมื่อตรวจพบว่ามีโรคโควิด-19 ด้วย จึงส่งมารับการรักาษที่สถาบันบราศนราดูรวันที่ 5 ก.พ. 2563 เรียกว่ารักษามาประมาณ 1 เดือน อยู่ในการดูแลของแพทย์มาตลอด โดยเราให้ยาต้านไวรัสที่ดีที่สุดที่ได้รับการพิสูจน์ว่า ได้ผลที่ดีที่จีน รวมถึงการใช้แอนติบอดีจากน้ำเหลืองของคนขับแท็กซี่ที่รักษาหายแล้ว แม้จะมีการรักษาที่ดีที่สุด แต่การเสียชีวิตก็เกิดขึ้นได้ จึงถือเป้นการเสียชีวิตรายแรกของประเทศไทย แต่เป็นประเทศที่ 10 ซึ่งก่อนหน้านี้มีประเทศที่เสียชีวิต คือ จีน (รวมฮ่องกง ไต้หวัน) ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อิหร่าน อิตาลี ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย
เมื่อถามถึงผู้เสียชีวิตมีอาการปอดเสียหายมาตั้งแต่แรกหรือไม่ และการที่ปอดเสียหายเกิดจากการที่มีโรคไข้เลือดออกร่วมด้วยหรือไม่ นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ กล่าวว่า ผู้ป่วยที่เสียชีวิตรายนี้ มารับการรักษาครั้งแรกที่ รพ.เอกชนด้วยอาการไข้อย่างเดียว ซึ่งตรวจพบเชื้อไข้เลือดออก เพราะโรคไข้เลือดออกจะมีอาการไข้อย่างเดียว ไม่มีอาการหวัด ก็ทำการรักษา แต่ภายหลังพบว่าเริ่มมีอาการหวัดด้วย จึงทำการซักประวัติและพบว่า มีการทำงานใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวชาวจีน จึงทำการตรวจและพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จึงส่งต่อมารักษา ดังนั้น ผู้ป่วยรายนี้จึงมีการป่วยใน 2 ช่วง ส่วนที่มีอาการรุนแรงทำให้ปอดเสียหายนั้น ต้องทำความเข้าใจว่า ไข้เลือดออกไม่ใช่โรคของปอด ไม่ใช่เชื้อที่จะลงไปที่ปอด อาจจะไม่เกี่ยวกัน แต่การที่เป็นไข้เลือดออกทำให้ร่างกายอ่อนล้ามาก เวลามีเชื้อมาอีกตัว ซึ่งการมี 2 โรคย่อมรุนแรงกว่าการมีโรคเดียว ดังนั้น โรคโควิด-19 ซึ่งเชื้อจะมุ่งลงไปที่ปอดและก่อความรุนแรง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะลงไปเป็นปอดอักเสบหรือปอดบวมเสมอไป เพราะ 80% ไม่ลงปอดเป็นไข้หวัดธรรมดา โดยมีประมาณ 15-20% ที่ลงไปที่ปอด โดยการลงไปที่ปอดจะอยู่ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 หลังรับเชื้อ แต่ลงไปแล้วจะเป็นปอดอักเสบรุนแรงมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นกับร่างกายของแต่ละคนที่จะต่อสู้กับเชื้อได้
นพ.ทวี กล่าวว่า ผู้ป่วยรายนี้ได้รับน้ำเหลืองที่มีแอนติบอดีจากคนขับแท็กซี่ ซึ่งพบว่ามีภูมิค่อนข้างสูง และคนป่วยรายนี้ก็มีภูมิสูงด้วย ซึ่งจากการรักษาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้หมดไปแล้ว แต่ได้ทิ้งร่องรอยของการทำลายไว้เยอะมาก จึงต้องพยุงด้วยเครื่องเอคโมหรือปอดเทียม เพื่อให้อวัยวะได้ฟื้นตัว ซึ่งจะฟื้นได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นกับสภาพร่างกาย แต่อย่างที่บอกว่าผู้ป่วยรายนี้มีไข้เลือดออกมาก่อนหน้านี้ ทำให้ค่อนข้างมีอาการหนัก เพราะร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่แรก ทำให้มีอาการปอดอักเสบรุนแรงและปอดเสียหาย แม้รักษาจนเชื้อหมดไป แต่ก็ต้องใช้เครื่องเอคโมทำงานแทน เพื่อให้รอการฟื้นตัว ซึ่งเราก็ได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว ขณะที่ผู้ป่วยที่มีวัณโรคร่วม แม้วัณโรคจะก่อปัญหาที่ปอดเช่นกัน และรายนี้ตอนแรกเราก็ค่อนข้างกังวล แต่กลับพบว่า สภาพปอดไม่ได้เสียหายหนักเหมือนรายนี้ ซึ่งทั้งหมดจะต้องมีการนำมาถอดบทเรียนต่อไป สำหรับเรื่องของร่างผู้เสียชีวิตไม่ต้องกังวล เพราะรักษาจนไม่มีเชื้อแล้ว และย้ำว่าศพไอไม่ได้ ก็ไม่แพร่เชื้อ