xs
xsm
sm
md
lg

"ชมรมรักษ์เขาเอราวัณ" กับ ยุทธศาสตร์การรักษามรดกเขาหินปูน ความสำเร็จของ “พลังเปลี่ยนโลก” อีกหนึ่งผลงานรางวัลแห่งความยั่งยืน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ชมรมรักษ์เขาเอราวัณ จ.ลพบุรี รวมกลุ่มชาวบ้านตำบลช่องสาลิกา เข้ารับ “รางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 19” ประเภท "สิปปนนท์ เกตุทัต รางวัลแห่งความยั่งยืน" ที่มอบเป็นกำลังใจให้แก่นักอนุรักษ์ชาวไทย ผู้สร้างพลังเปลี่ยนโลกสีเขียวส่งต่อสู่คนรุ่นต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

"รางวัลลูกโลกสีเขียว" ถือกำเนิดขึ้นในปี 2542 โดยเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ 1 ล้านไร่ของ ปตท. เพื่อถวายเป็นราชสักการะแก่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสทรงพระเจริญพระชนมายุ 72 พรรษา (ปี 2537) ด้วยความร่วมมือของผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ อาทิ องค์กรพัฒนาเอกชน นักอนุรักษ์ นักวิชาการ นักเขียน สื่อมวลชน ฯลฯ โดยมีเป้าหมายที่จะสนับสนุน เป็นกำลังใจยกย่องและเผยแพร่การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของบุคคลและกลุ่มบุคคลเหล่านี้ให้เป็นที่รับรู้ในสังคมวงกว้าง เป็นเยี่ยงอย่างของการประกอบสิ่งที่ดีงามในสังคมไทย เป็นแบบอย่างในการนำไปประยุกต์ใช้แม้จะต่างถิ่น ต่างวัฒนธรรม หรือต่างสภาพนิเวศ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการสร้างผลงาน สร้างเครือข่ายแห่งการอนุรักษ์ให้ยั่งยืนสืบไป

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายจึงมีการมอบ รางวัลลูกโลกสีเขียว อย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อยกย่อง เชิดชู บุคคล ชุมชน กลุ่มเยาวชน งานเขียน และสื่อมวลชน ที่มีผลงานด้านการสร้างสรรค์และอนุรักษ์ธรรมชาติ ดิน น้ำ ป่า สิ่งแวดล้อมที่เด่นชัดและเป็นที่ประจักษ์ สามารถเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนทั่วไป

นอกจากนั้นในปี 2548 ได้เพิ่มรางวัล "สิปปนนท์ เกตุทัต รางวัลแห่งความยั่งยืน" เพื่อเป็นอนุสรณ์และเป็นการระลึกถึงการจากไปของ ศาสตราจารย์ ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต ผู้ร่วมก่อตั้ง "รางวัลลูกโลกสีเขียว" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการให้กำลังใจแก่ผลงานชุมชนที่เคยได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียวมาแล้ว 5 ปีขึ้นไป และยังคงอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเข้มแข็ง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อีกทั้งยังมีนวัตกรรมในการดำเนินงานเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่เหมาะกับกาลเวลา

ชมรมรักษ์เขาเอราวัณ จ.ลพบุรี เป็นองค์กรชาวบ้านตำบลช่องสาริกา ที่ต่อสู้กับกลุ่มทุนที่ต้องการสัมปทานสร้างโรงโม่หินในเขาเอราวัณ ชาวบ้านเห็นพ้องต้องกันว่า การระเบิดหินไม่คุ้มกับความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม การดำรงชีวิต และสุขภาพของคนในพื้นที่ จึงรวมตัวกันคัดค้าน วางยุทธศาสตร์การทำงานโดยใช้ความรู้ข้อมูลวิชาการเรื่องคุณค่าความหลากหลายทางชีวภาพภูเขาหินปูน รวมถึงด้านพืชสมุนไพรที่มีคุณค่าเหนือกว่าป่าทั่วไป เป็นการทำงานแบบ “กัดติด” ขับเคลื่อนงานต่อเนื่องจนสามารถยกระดับเขาเอราวัณ ซึ่งเป็นพื้นที่นิคมสร้างตนเองให้กลายเป็น “เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาเอราวัณ” ขยายงานอนุรักษ์ต่อไปยังเทือกเขาอ้ายก้านที่อยู่ใกล้เคียง ทั้งยังต่อสู้เพื่อรักษาสถานะชุมชนให้เป็นผังเมืองสีเขียว แทนการปรับเป็นผังเมืองสีม่วงตามแผนพัฒนาของภาครัฐ ผลักดันจนเกิดข้อบัญญัติของตำบลเรื่องการควบคุมกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ สร้างเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น 33 แห่งในจังหวัดลพบุรี จัดตั้งวิสาหกิจชุมชนปลูกต้นจันผาเพื่อจำหน่าย ลดการลักลอบขุดจันผาในป่าซึ่งเป็น Keystone Species เขาหินปูน และดึงกลุ่มเยาวชนให้เข้ามาเป็นพลังคนรุ่นใหม่อีกด้วย

ในบริเวณตำบลช่องสาริกามีภูเขาหลายลูกติดกันเรียกว่า "เทือกเขาอ้ายก้าน" ประกอบด้วย เขาฝาชี เขาเขียว เขาอ้ายก้าน เขาไม่มีชื่อ และเขาช่องสาริกา โดย "ภูเขาเอราวัณ" เป็นเขาหินปูนที่อยู่ระหว่างเขาช่องสาริกา ตั้งอยู่ระหว่างหมู่ 9, 12 และ 13 มีพื้นที่ 1,500 ไร่ ความสูงประมาณ 267 เมตรจากระดับน้ำทะเล อยู่ในลุ่มน้ำชั้น 1บี (เป็นพื้นที่ที่สภาพป่าส่วนใหญ่ได้ถูกทำลาย ดัดแปลง หรือเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนา หรือการใช้ที่ดินรูปแบบอื่นก่อนปี 2525) มีสัณฐานสูงต่ำสภาพป่าเป็นป่าเบญจพรรณที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ มีคุณค่าทางธรรมชาติวิทยาและโบราณคดี

แต่เดิม ชาวบ้านปากช่องสาลิกา และหมู่บ้านใกล้เคียงในตำบลช่องสาริกา อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี มีชีวิตไม่ต่างกับชุมชนอื่นๆ ที่สาละวนกับงานในไร่ รับจ้าง หาของป่า ส่วนงานอนุรักษ์ป่ายังเป็นเรื่องไกลตัว และไม่เคยคิดว่าจะทำให้ท้องอิ่ม แต่ความคิดทำนองนี้เริ่มเปลี่ยนไปในปี 2546 เมื่อมีคนโยกย้ายเข้ามาในชุมชนหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มต่างมาขอซื้อที่ อ้างว่าจะมาทำการเกษตรปลูกพืชผลส่งโรงงาน บ้างก็บอกว่าจะพัฒนาเป็นรีสอร์ทและสนามกอล์ฟ ฟังดูดีมีเหตุผลเพราะในละแวกนี้มีโรงงานพืชผลเกษตรกรรมมากมาย

ชุมชนมาถึงบางอ้อเมื่อแต่ละกลุ่มที่เข้ามาซื้อที่ดินนั้นปรากฎว่าเป็นพวกเดียวกัน มีการนำรถบรรทุกขนาดใหญ่ ขนตู้คอนเทนเนอร์ที่ใส่อุปกรณ์ก่อสร้างเข้ามาไว้ในพื้นที่อย่างมโหฬาร ข้อมูลจริงจึงถูกเปิดเผยด้วย ความไม่เต็มใจว่า ที่ดินที่กว้านซื้อไว้นั้นเพื่อจะเป็นที่ตั้งโรงงานระเบิดหิน วัตถุดิบคือเขาเอราวัณนั่นเอง เป็นเหตุให้คนในชุมชนส่วนใหญ่รับไม่ได้ ชาวบ้านไม่ต้องการเป็นชุมชนโรงงานและที่สำคัญ สภาพแวดล้อมจะเสื่อมโทรมลง

ชุมชนช่องสาริกาจำนวน 3 หมู่บ้าน ประกอบไปด้วยหมู่ 9 หมู่ 12 และหมู่ 13 ซึ่งมีประชากรรวม 1,583 คน จาก 569 ครัวเรือน มีความเห็นตรงกันว่า เจตนารมณ์ของการตั้งชุมชนในครั้งอดีต สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ให้มีการจัดสรรที่ดินในพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ก็เพื่อให้มีอาชีพเกษตรกรรม ทำไร่และเลี้ยงสัตว์ และให้รักษาเทือกเขาอ้ายก้าน เขาเอราวัณ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำ แหล่งอาหารของชาวบ้าน หากมีโรงงานมาระเบิดหิน ฝุ่นละอองก็จะตามมาด้วย มีตัวอย่างให้เห็นแล้วที่สระบุรี สภาพแวดล้อมก็จะเสียไป น้ำฝนปนเปื้อน โรงงานจะต้องใช้น้ำบาดาลมากขึ้น ที่สุดแล้วชาวบ้านต้องย้ายบ้านหนีโรงงาน เมื่อไม่ต้องการให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น ชาวบ้านจึงรวมตัวกันคัดค้านการตั้งโรงงานโดยตั้งเป็นชมรมชื่อว่า "ชมรมรักษ์เขาเอราวัณ" มีสมาชิกเบื้องต้นประมาณ 70 คน

การเคลื่อนไหวเริ่มต้นด้วยการยื่นหนังสือคัดค้านไปยัง อบต. จากนั้น อบต. ก็เป็นตัวแทนเจรจา ขอให้ยุติโครงการ แต่ผู้ประกอบการได้ทำเรื่องร้องเรียนไปยัง สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดลพบุรีเพื่อให้พิจารณาอีกครั้ง มีการส่งเรื่องกลับมายัง อบต. จนถึงต้นปี 2548 สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดลพบุรีอนุมัติให้ก่อสร้างโรงงานได้ เพราะเห็นว่าภูเขาหินปูนไม่มีความสำคัญในแง่การอนุรักษ์ โดยมีแกนนำชาวบ้านที่รวมตัวกันจึงได้บทเรียนว่า การไม่รู้จักฐานทรัพยากรของตัวเอง ทำให้ขาดน้ำหนักในการเคลื่อนไหว ชุมชนจะต้องรู้ว่าตัวเองมีดีอย่างไร จากสมาชิกชมรมรักษ์เขาเอราวัณที่มีกัน 70 คน ก็ขยายตัวออกไปเป็น 394 คน พร้อมสร้างแนวร่วมที่เป็นกองหลังอีกค่อนหมู่บ้าน แล้วเริ่มต้นสำรวจเขาเอราวัณอย่างละเอียด

การสำรวจศึกษาชุมชนและคุณค่าของภูเขาเอราวัณได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน และพบหลักฐานที่มีคุณค่ามากมาย เช่น พบไม้โมกราชินีซึ่งเป็นพรรณพืชเฉพาะถิ่นหายาก พบนกจู๋เต้นเขาหินปูนที่เป็นนกเฉพาะถิ่นจำนวนมาก พบซากฟอสซิลหอยนอติลุสที่แสดงว่าพื้นที่แห่งนี้เมื่อหลายล้านๆ ปีเคยเป็นทะเล พบถ้ำจำนวนมากกว่า 35 ถ้ำ มีหินงอกหินย้อยที่งดงาม ภายในถ้ำและนอกถ้ำพบภาชนะดินเผาที่เป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่มีอายุกว่า 2,000 ปี เป็นต้น

ชมรมฯ นำข้อมูลเหล่านี้มาเผยแพร่ให้ชาวบ้านได้รับรู้ถึงความสำคัญของหลักฐานต่างๆ ทั้งหลักฐานด้านโบราณวัตถุ ซากดึกดำบรรพ์ พืชพรรณและพันธุ์สัตว์ ข้อมูลและหลักฐานดังกล่าว ทำให้เหตุผลของการอนุรักษ์เขาเอราวัณมีน้ำหนัก จนหน่วยงานภาครัฐทั้งในระดับภูมิภาคและส่วนกลางต้องรับฟัง และระงับการตั้งโรงงาน รวมถึงการให้สัมปทานภูเขาในที่สุด

วันที่ 30 พฤษภาคม 2550 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ประกาศให้ภูเขาเอราวัณเป็นพื้นที่อนุรักษ์ประเภทเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชน ตามนโยบายของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในตำบลช่องสาริกา ชมรมฯ จึงได้เข้าร่วมเป็นเครือข่ายและทำงานร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชุมชน

ปัจจุบัน เขาเอราวัณเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชนและเยาวชน เป็นแหล่งสำรวจศึกษาทางวิชาการของนักศึกษา นักวิชาการและสถาบันวิชาการทั้งในท้องถิ่นและระดับชาติ เป็นแหล่งทำกิจกรรมทางศาสนาและประเพณีท้องถิ่นด้วยมีสำนักสงฆ์ที่เชิงเขา เป็นแหล่งอนุรักษ์พรรณพืชและสัตว์ป่าประจำถิ่น เป็นแหล่งศึกษาด้านโบราณคดีและมีพิพิธภัณฑ์ซากดึกดำบรรพ์ที่เปิดให้ศึกษาทุกวัน

พลังของชุมชนในพื้นที่ ที่ร่วมกันหวงแหนทรัพยากร แสวงหาข้อมูลให้รู้จริง เคลื่อนไหวแบบสันติ หลีกเลี่ยงความรุนแรง ย่อมได้ผลเป็นความสำเร็จในการดูแลรักษาทรัพยากรของชุมชนได้อย่างยั่งยืน




กำลังโหลดความคิดเห็น