xs
xsm
sm
md
lg

อ.เภสัช จุฬาฯ เชื่อยาฆ่าเชื้อ “TAZOCIN” ปนเปื้อนมีมากกว่า 2 รพ.จี้ บ.ยาตรวจสอบล็อตอื่นให้ชัด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อ.เภสัช จุฬาฯ เชื่อยาฆ่าเชื้อ “TAZOCIN” มีสิ่งแปลกปลอม ไม่ได้มีแค่ 2 รพ. แต่มีใน รพ.อื่นด้วย แต่ที่ตรวจไม่พบ อาจมาจากคนผสมยาตรวจไม่พบ ย้ำ ต้องยกระดับมาตรฐานการผสมยา พร้อมจี้ บ.ยาตรวจสอบให้ชัดเจน พร้อมตรวจสอบยาล็อตอื่นด้วย 

วันนี้ (7 ต.ค.) ผศ.ภก.บดินทร์ ติวสุวรรณ อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณียาฆ่าเชื้อชนิดฉีด “TAZOCIN” ของบริษัทยายักษ์ใหญ่ มีสิ่งแปลกปลอมในขวดบรรจุยาที่ รพ.รามาธิบดี 9 รุ่นการผลิต และที่ รพ.กรุงเทพอีก 1 รุ่นการผลิต ว่า การเจอสิ่งแปลกปลอมในยาแม้จะเป็นเรื่องแย่ แต่ที่ผ่านมาก็มีการพบเจอได้บ้าง ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ ซึ่งปัญหา particulate matter หรือ อนุภาคเล็กๆ นั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในกระบวนการผลิตที่อาจมีความผิดปกติ เพียงแต่เมื่อเจอแล้ว บริษัทยาจะต้องมีการบริหารจัดการที่ถูกต้องและรวดเร็ว โดยจะต้องมีกระบวนการเรียกคืนยา และตรวจสอบกระบวนการผลิตทั้งหมด ทั้งนี้ ความสำคัญลำดับแรกของยาแบบฉีดคือ ต้องเคลียร์ ไม่มีอนุภาคหรือสิ่งแปลกปลอมใดๆ เลย เพราะหากมีก็จะเข้าไปอุดในเส้นเลือดของอวัยวะ เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้

“ข้อมูลเบื้องต้นของยา TAZOCIN เชื่อว่า สิ่งแปลกปลอมที่พบ คล้ายกับเป็นตะกอน หรือน่าจะเป็นของแข็ง ซึ่งตั้งสมมติฐานได้ว่า น่าจะเกิดจากความผิดพลาดในเชิงระบบ ที่จะต้องมีที่มาที่ไป เพราะปัญหาไม่ได้พบเพียง 1-2 ขวด แต่พบเป็นล็อตการผลิต และเจอหลายล็อต ไม่ว่าบริษัทยาใดก็ตามเมื่อเกิดปัญหา นอกจากจะเรียกคืนยาแล้ว ยังต้องขยายการตรวจสอบถึงยาล็อตอื่นๆ ด้วย ว่ายาล็อตไหนบ้างที่อาจมีความเสี่ยง คือ คงไม่เรียกคืนเฉพาะล็อตที่โรงพยาบาลรายงานปัญหา แต่ต้องกลับไปดูทั้งหมด และหาที่มาที่ไป หาระบบการแก้ไข ซึ่งเป็นกระบวนการตามปกติอยู่แล้วของอุตสาหกรรมยา” ผศ.ภก.บดินทร์ กล่าว

ผศ.ภก.บดินทร์ กล่าวว่า นอกจากนี้ บุคลากรทางการแพทย์ควรจะต้องตั้งข้อสงสัยและตรวจสอบยาตัวเดียวกันนี้ด้วย เพราะส่วนตัวเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะพบปัญหานี้เฉพาะใน 2 โรงพยาบาลที่รายงานมา คาดว่าหากตรวจสอบในโรงพยาบาลอื่นๆ ก็จะพบด้วยเช่นเดียวกัน ถ้าเป็นล็อตเดียวกัน แต่ทำไมโรงพยาบาลอื่นไม่เจอ คำถามคือคนที่ผสมยาจะตรวจพบสิ่งนั้นหรือไม่ เพราะทุกครั้งที่มีการผสมยาฉีดเข้าเส้นผู้ป่วย สิ่งหนึ่งที่ต้องตรวจสอบ คือ ความใส หรือความเคลียร์ ไม่ให้มีอนุภาคใดอยู่เลย ซึ่งตรงนี้ต้องใช้ทักษะพิเศษในระดับหนึ่ง ดังนั้น จึงมองว่ามาตรฐานการผสมยา เป็นอีกส่วนที่ต้องมีการปรับปรุงพัฒนาในเชิงระบบด้วย เพราะผู้ที่ถูกฝึกมาให้ทำด้านนี้ คือ เภสัชกร แต่บางโรงพยาบาลอาจไม่ได้มีฝ่ายเภสัชกรรม แยกออกมาทำหน้าที่ตรงนี้โดยเฉพาะด้วยข้อจำกัดต่างๆ

“ขอชมเชยทั้ง 2 โรงพยาบาลที่เจอปัญหาและรายงานออกมา ซึ่งเชื่อว่าบริษัทขนาดใหญ่แบบนี้ควรจะต้องเร่งดำเนินการอย่างที่บอก แต่ขณะนี้ยังไม่แน่ใจว่าทางผู้ผลิตเองได้ทำติดตามตรวจสอบไปเพียงใด และมีการเรียกคืนยานอกเหนือจากที่โรงพยาบาลแจ้งหรือไม่ แต่ถ้าจะบอกว่าเรียกคืนเฉพาะล็อตที่โรงพยาบาลแจ้งคงไม่ได้ ต้องดูด้วยว่ามีความเสี่ยงที่ล็อตไหนอีกบ้าง” ผศ.ภก.บดินทร์ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น