ระยะเวลา 3 ปี กับ 12 โครงการใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ กีฬา ดนตรี ชุมชน และการศึกษา/สาธารณสุขของ คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย โครงการ Corporate Social Responsibility (CSR) ที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้ดำเนินการมาเพื่อแสดงความรับผิดชอบของบริษัทต่อสังคม เมื่อวันพุธที่ 25 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนกว่า 30 ชีวิต ได้นั่งพูดคุยอย่างเป็นกันเองบน คิง เพาเวอร์ มหานคร ตึกระฟ้าโดดเด่นใจกลางกรุงเทพมหานคร
“มันไม่ใช่แค่การทำบุญ หรือ ตอบแทนสังคม และบางคนอาจจะมองว่าที่ทำเพราะต้องการทำข่าวให้มันดีหรือเปล่า ผมว่าน่าจะเลิกคิดอะไรแบบนี้ เพราะว่าพวกเราทำมานานจริงๆ ซึ่งเมื่อถูกนำมารวบรวมเป็นเรื่องเป็นราวก็จะเห็นภาพชัดอย่างที่เห็น” ซีอีโอหนุ่มแห่งคิง เพาเวอร์ เปิดใจ ก่อนจะเล่าเพิ่มเติมว่า ทั้งคุณพ่อ (วิชัย ศรีวัฒนประภา) และคุณแม่ (เอมอร) เดิมทีก็ทำกิจกรรมตอบแทนสังคมอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ตนยังเด็กไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเพื่อศาสนสถาน หรือ การบริจาคตู้อบเด็กให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ
จนเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่คุณพ่อวิชัยสามารถนำทีมเลสเตอร์ ซิตี้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอังกฤษในฤดูกาล 2015–2016 ได้จึงคิดที่จะทำโครงการต่าง ๆ อย่างจริงจังเพื่อช่วยพัฒนา และแสดงให้ชาวโลกได้เห็นถึงศักยภาพของคนไทยว่ามีศักยภาพทัดเทียมกับสากล ในนาม โครงการ คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย
ในห้วง 3 ปีที่ผ่านมา 12 โครงการภายใต้ชื่อ คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย ภายใต้เงินสนับสนุนราว 200 ล้านบาทต่อปี สามารถดำเนินการอย่างต่อเนื่องโดยช่วยกระจายโอกาสสู่ชุมชนทั่วทุกภูมิภาค ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัด คิดเป็นกว่า 3,000 ชุมชน ทั้งยังยกระดับจากโครงการในรูปแบบ Corporate Social Responsibility (CSR) หรือ โครงการที่แสดงถึงความรับผิดชอบของบริษัทต่อสังคม ไปสู่ความรับผิดชอบในรูปแบบ Creating Shared Value (CSV) ได้แล้ว
แล้ว CSV ต่างจาก CSR อย่างไร?
สำหรับ ซีเอสวี (CSV) หรือ Creating Shared Value คือ การปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจให้ตรงกับความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้น คู่ค้า ลูกค้า ชุมชน หรือสิ่งแวดล้อม โดยการปรับตัวเข้าสู่การเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนด้วยการลดการใช้ทรัพยากร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังจะเห็นได้จากโครงการอย่างเช่น การนำสินค้าชุมชนไปอวดสายตาชาวโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ ทั้งหมด 3 คอลเลกชัน ประกอบไปด้วย ของที่ระลึกสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ คอลเลคชันผ้าครามมัดย้อมจากสกลนครได้แก่ อินดิโก้ 1, อินดิโก้ 2 และ Thai Natural Dye ผ้าทอตีนจกย้อมสีธรรมชาติจากภาคเหนือ ซึ่งเป็นผลงานแห่งความภาคภูมิใจที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้ร่วมเป็นคู่คิดและคู่ค้ากับชุมชนต่างๆ เพื่อชูจุดแข็งและภูมิปัญญาของชาวไทยผสานเทคนิคการออกแบบที่ทันสมัย ใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้สีจากธรรมชาติมาใช้ในขั้นตอนการผลิต โดยตั้งเป้าผลิตคอลเลคชันพิเศษจากฝีมือคนไทยทุกปี หมุนเวียนเปลี่ยนชุมชนไปตามภาคต่างๆ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ดีไซน์ใหม่ๆ น่าสะสมอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามเนื่องจาก CSV มิใช่การแบ่งปันผลกำไร หรือการกุศลโดยตรง แต่ CSV เน้นการสร้างห่วงโซ่คุณค่าใหม่ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่หวังดีต่อสังคม ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสร้างกำไรให้บริษัทด้วย
ทั้งนี้ ความสำเร็จของโครงการ คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย ซึ่งถือเป็นโครงการความรับผิดชอบต่อสังคม ที่ส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพของคนไทย ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี ได้แก่
ด้านกีฬา หรือ SPORT POWER โดยชุมชนหลายแห่งที่ได้รับมอบสนามฟุตบอลหญ้าเทียมใน โครงการ 100 สนามฟุตบอล สร้างพลังเยาวชนไทย พวกเขาได้ใช้ประโยชน์จากสนามเต็มที่ ได้มีโอกาสฝึกฝน และพัฒนาศักยภาพด้านกีฬาของตัวเองและทีมในสนามฟุตบอลที่มีคุณภาพ ระดับมาตรฐานโลกจนกวาดรางวัลมาได้หลายแห่ง, มีเด็กและเยาวชนจาก โครงการล้านลูก ล้านพลัง สร้างฝันเด็กไทย กว่าครึ่งล้านคนที่มีลูกฟุตบอลเป็นของตัวเองแล้ว, ส่วนน้องๆ ใน โครงการ Fox Hunt 28 คน เป็นนักฟุตบอลอาชีพสังกัดสโมสรที่เล่นในไทยลีก อาทิ สโมสรฟุตบอลการท่าเรือ, สโมสรฟุตบอลเมืองทอง ยูไนเต็ด, สโมสรฟุตบอลจังหวัดขอนแก่น เป็นต้น และอีก 4 คนไปสังกัด สโมสรฟุตบอลโอเอช ลูเวิน ประเทศเบลเยียม
ปัจจุบันจากที่ตั้งเป้า 100 สนาม เราทำไปแล้ว 60 สนาม โดยจะครบ 100 สนามภายในอีก 2 ปีข้างหน้า ส่วนลูกฟุตบอลผ่านโครงการ ล้านลูก ล้านพลัง สร้างฝันเด็กไทย ก็มอบลูกฟุตบอลแล้ว 77 จังหวัดทั่วประเทศ กว่า 500,000 ลูก ผู้บริหารกลุ่มคิง เพาเวอร์เปิดเผย
ด้านชุมชน หรือ COMMUNITY POWER เพื่อบอกให้โลกรู้ว่าของไทยนี้ดี กับความสำเร็จของการนำสินค้าชุมชนไปอวดสายตาชาวโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ ในรูปแบบของของที่ระลึกจากสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้
ด้านดนตรี หรือ MUSIC POWER ได้ส่งเสริมให้คนหัวใจรักเสียงดนตรีกว่า 4,000 คนทั่วโลก ได้แสดงความสามารถด้านดนตรีให้เป็นที่ประจักษ์ในเวทีประกวดวงดุริยางค์เครื่องเป่าที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นการประกวดที่มีมาตรฐานสูงมีกรรมการตัดสินที่มีชื่อเสียงระดับโลก และเป็นที่จับตามองที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ด้านการศึกษาและสาธารณสุข หรือ EDUCATION & HEALTH POWER ได้เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับทารกแรกคลอดด้วยการมอบตู้อบเด็กให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศจำนวน 20 แห่งทั่วทุกภูมิภาค นอกจากนี้ยังได้มอบทุนการศึกษาระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยเดอ มง ฟอร์ต ประเทศอังกฤษ สร้างบุคลากรที่มีคุณภาพกลับมาพัฒนาประเทศไปแล้วจำนวน 20 คน
เมื่อถามถึงความมุ่งหวังในระยะยาวต่อการทำโครงการเพื่อสังคมของกลุ่มคิง เพาเวอร์ นายอัยยวัฒน์เปิดเผยว่า โครงการทั้งหมดนี้จะดำเนินอย่างต่อเนื่องไปครบ 5 ปี ด้วยเงินสนับสนุนรวมกว่า 1 พันล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 200 ล้านบาท
“หากดูแกนหลัก ๆ ที่เราทำ อย่างเรื่องกีฬาชัดเจนว่าเราอยากเห็นคนและน้องๆ เติบโตในสังคมที่มันยากขึ้นเรื่อย ๆ ให้พวกเขามีแกนยึดเหนี่ยวได้ดีอย่างเช่นกีฬาเข้ามาเสริม ส่วนความฝันอย่างเช่นเรื่องกีฬา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่หลายคนฝันร่วมกันอย่างเรื่องฟุตบอลถ้ามันเกิดก็จะเป็นเรื่องที่ดี หรือ ต่อให้มันไม่เกิดตามเป้า อย่างน้อยมันก็ช่วยอะไรบางอย่าง ส่วนเรื่องดนตรี น้อง ๆ ที่มีความสามารถด้านดนตรี ผมอยากเห็นว่าเขาสามารถหาอาชีพได้ อย่างเช่น วงมหิดลสามารถก้าวขึ้นไปในระดับเอเชีย หรือมีอาชีพเพิ่มขึ้น เหล่านี้คือสิ่งที่เราอยากเห็น แล้วให้คนต่างชาติเห็นว่าคนไทยก็มีความสามารถด้านนี้ด้วย
“เรื่องชุมชน ต้องบอกเลยว่าสินค้าต่างๆ ของไทยมีคุณภาพมากพอที่จะแสดงให้คนทั้งโลกได้เห็นว่าเราดีพอ เราจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยผลักดันไม่ว่าจะเป็นที่สนามบิน ที่เลสเตอร์ หรือ ที่สโมสรลูเวินในเบลเยียม อะไรที่เราพอจะทำได้เราทำ โปรยออกไป ให้เป็นเครื่องมือทางการตลาดหนึ่งของประเทศไทย แต่ทุกอย่างก็ขึ้นกับสินค้า ขึ้นกับจังหวะและโอกาสด้วย” นายอัยยวัฒน์กล่าว
ทั้งนี้ในการก้าวขึ้นสู่ปีที่ 4 โครงการ คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย ได้มีการปรับโครงสร้างเล็กน้อยคือ การเสริมกำลังจาก มูลนิธิ วิชัย ศรีวัฒนประภา โดยโครงการ คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทยจะรับผิดชอบใน 3 ด้นาหลักคือ ด้านกีฬา, ด้านดนตรี และ ด้านชุมชน ส่วน ด้านการศึกษาและสาธารณสุข นั้นจะถูกผลักดันผ่านมูลนิธิ วิชัย ศรีวัฒนประภาอย่างเต็มที่แทนในเดือนตุลาคม 2562 นี้
