สธ.เฝ้าระวังเข้ม "โรคไข้ลาสซา" หลังพบระบาดในหลายประเทศของแอฟริกา เผย "ไลบีเรีย" ป่วย 25 รายตาย 9 ราย ไนจีเรีย 658 ราย ตาย 145 ราย กำชับด่านระหว่างประเทศ ตรวจคัดกรองนักท่องเที่ยวพื้นที่เสี่ยง เผยเป็นโรคตระกูลเดียวกับอีโบลา ยังไม่มียารักษา
วันนี้ (7 ก.ย.) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีข่าวประเทศไลบีเรียประกาศภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขจากการระบาดของโรค "ไข้ลาสซา" และพบรายงานผู้ป่วยในบางประเทศแถบแอฟริกา ว่า ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ประกาศกำหนดให้โรคไข้ลาสซาเป็นโรคติดต่ออันตราย ที่จะต้องเฝ้าระวังและดำเนินการอย่างเข้มข้น ซึ่ง คร.กำลังติดตามสถานการณ์ในต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และดำเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ซึ่งจากข้อมูลของ สธ.ประเทศไลบีเรีย พบว่า มีรายงานสถานการณ์โรคไข้ลาสซา ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 25 ส.ค. 2562 มีผู้ป่วยยืนยันแล้ว 25 ราย เสียชีวิต 9 ราย นอกจากนี้ มีรายงานผู้ป่วยในประเทศแถบแอฟริกา เช่น ไนจีเรีย ยืนยัน 658 ราย เสียชีวิต 145 ราย นิมบา แกรนด์บาสสา บอง และแกรนด์กรู เป็นต้น
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า กรมฯ ได้ติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังโรคไข้ลาสซาในต่างประเทศอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง พร้อมสั่งการให้กองโรคติดต่อทั่วไป กำชับด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ ให้เตรียมพร้อมและตรวจคัดกรองนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงอย่างเข้มข้น แม้จะยังไม่เคยมีรายงานผู้ป่วยโรคดังกล่าวในประเทศไทยก็ตาม สำหรับนักท่องเที่ยวหลังกลับจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยง หากมีอาการไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บหน้าอก ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ให้รีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา แจ้งประวัติการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงให้แพทย์ทราบด้วย
"โรคไข้ลาสซา จัดอยู่ในตระกูลเดียวกับโรคอีโบลา โรคนี้ติดต่อจากการที่คนหายใจเอาละอองของเสียที่หนูขับถ่ายออกมา เช่น ปัสสาวะ และอุจจาระ เข้าไป หรือการกินอาหารหรือการใช้ภาชนะที่มีการปนเปื้อนเชื้อ หรือติดเชื้อทางแผล/เยื่อเมือกบุผิว ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการ ส่วนอาการของโรคไข้ลาสซา คือ มีไข้ ไข้จะยังคงมีอยู่ตลอด หรืออาจไข้สูงเป็นระยะ ปวดศีรษะ เจ็บคอ ไอ ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง เจ็บหน้าอก และปวดบริเวณช่องท้อง อ่อนเพลีย ซึ่งโรคนี้จะรักษาตามอาการ เพราะไม่มียารักษาเฉพาะ และยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันโรค" นพ.สุวรรณชัย กล่าวและว่า วิธีป้องกัน คือ 1.ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลเป็นพิเศษ โดยหมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ ควรล้างทำความสะอาดภาชนะที่ใช้ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการรับเชื้อโรค และ 2.ดูแลความสะอาดรอบๆ ที่พักเพื่อควบคุมการกำจัดหนูและสัตว์กัดแทะซึ่งเป็นพาหะนำโรค