กรมอนามัย ประสาน กทม.เร่งตรวจสอบร้านอาหาร หลังพ่อร้องผ่านโซเชียล มีเศษแก้วปนจนบาดปากลูก ย้ำร้านต้องมีแสงสว่างเพียงพอ มองเห็นสิ่งสกปรก ปนเปื้อน อันตรายที่จะปนไปในอาหาร
วันนี้ (7 ก.ย.) พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงกรณีพ่อโพสต์ลงเฟซบุ๊กเรื่องลูกชายกินอาหารที่ร้านอาหารดังย่านลาดพร้าว โดยมีเศษแก้วที่ปนมาในอาหารจนได้รับบาดเจ็บในช่องปากมีเลือดไหลที่ลิ้น ว่า กรมฯ ได้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อหาสาเหตุการที่มีเศษแก้วปนเปื้อนในอาหาร พร้อมให้ร้านอาหารปรับปรุงและคุมเข้มการปรุงประกอบอาหารให้ถูกสุขลักษณะมากยิ่งขึ้น ส่วนผู้บริโภคควรสังเกตอาหารให้มั่นใจว่าสะอาดและปลอดภัยก่อนกิน หากพบสิ่งปนเปื้อนและสิ่งแปลกปลอมในอาหาร ควรรีบแจ้งทางร้านเพื่อดำเนินการแก้ไขให้ถูกสุขลักษณะต่อไป
"ความสะอาดปลอดภัยในการปรุงอาหารเป็นเรื่องที่ร้านควรตระหนักและให้ความสำคัญ โดยเฉพาะสถานที่เตรียมปรุง จำหน่ายและล้าง ต้องมีแสงสว่างที่เพียงพอทำให้มองเห็นสภาพสิ่งสกปรก สิ่งปนเปื้อน สีของอาหารที่ผิดจากธรรมชาติ และสิ่งแปลกปลอมในอาหาร เพื่อความสะอาด ความปลอดภัย และยังช่วยป้องกันอุบัติเหตุได้ ส่วนการปรุง ต้องถูกต้องตามหลักปฏิบัติที่ดี ใช้ภาชนะบรรจุอาหารที่สะอาด มีการปกปิด ผู้ปรุงไม่ใช้มือหยิบจับอาหารปรุงสำเร็จโดยตรง สวมผ้ากันเปื้อน หมวกคลุมผม ซึ่งทั้งหมดมีการกำหนดเอาไว้ ในกฎกระทรวงสุขลักษณะของสถานที่จำหน่ายอาหาร พ.ศ. 2561" พญ.พรรณพิมล กล่าว
พญ.พรรณพิมล กล่าวว่า อย่างเรื่องแสงสว่างเป็นข้อหนึ่ง ที่สถานที่จำหน่ายอาหารต้องมีแสงสว่างเพียงพอ ต้องติดตั้งหลอดไฟแบบแสงธรรมชาติกลางวัน (Day Light) ค่าความเข้มของแสงสว่างตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดค่าความเข้มของแสงสว่างในสถานที่จำหน่ายอาหาร พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นหลอดไฟที่ได้มาตรฐาน ติดตั้งที่เหมาะสม ปลอดภัย และต้องมีที่ครอบป้องกันที่สามารถทำความสะอาดได้ และป้องกันอุบัติเหตุกรณีหลอดไฟแตกปนเปื้อนอาหาร
พญ.พรรณพิมล กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการอบรมผู้ประกอบกิจการและผู้สัมผัสอาหาร พ.ศ. 2561 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 25 เมษายน 2562 กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการต้องเข้ารับการอบรม 6 ชั่วโมง ผู้สัมผัสอาหารที่เป็นผู้เตรียม ปรุงประกอบ จำหน่าย เสิร์ฟ และล้างภาชนะอุปกรณ์ ต้องเข้ารับการอบรม 3 ชั่วโมง เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ และปฏิบัติงานได้ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาลอาหารภายใน 2 ปี โดยต้องอบรมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 ธ.ค. 2563 จึงขอเชิญชวนให้เข้ารับการอบรมได้ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่ตั้ง หรือจากหน่วยงานที่ได้รับความเห็นชอบจากกรมอนามัย แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการอบรม