รมช.สธ.เผยทีม Thailand EMT ผ่านการรับรองมาตรฐานองค์การอนามัยโลก เป็นประเทศแรกในอาเซียน เข้ารับรางวัลฝนงานประชุมองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
วันนี้ (4 ก.ย.) นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า ในการประชุมคณะกรรมการองค์การอนามัยโลก ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมัยที่ 72 ที่กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ตนพร้อมด้วย นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัด สธ. และ พญ.นฤมล สวรรคปัญญาเลิศ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ เข้าร่วมประชุม ซึ่งภายในงานได้ประเทศไทยได้รับรางวัลจากองค์การอนามัยโลก ที่ผ่านการรับรองทีม Thailand EMT ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกเป็นประเทศแรกในภูมิภาค และลำดับที่ 26 ของโลก ซึ่ง ทีม Thailand EMT หรือทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุขในภาวะภัยพิบัติ เป็นทีมพัฒนาต่อยอดจากทีมเมิร์ท (MERT : Medical Emergency Response Team) ซึ่ง สธ.ได้มอบหมายให้กรมการแพทย์เป็นแกนหลักดำเนินการ ร่วมกับหน่วยงานกรม กองต่างๆ ใน สธ.และหน่วยงานเครือข่ายอื่นๆ เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม สภากาชาดไทย สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย
นายสาธิต กล่าวว่า ประเทศไทยมีทีมเมิร์ทครบทุกจังหวัดตั้งแต่ปี 2556 ที่ผ่านมา ได้ให้การดูแลรักษาผู้ประสบภัยทั้งในประเทศ และรัฐบาลไทยได้ส่งทีม MERT ไปปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้ประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่ประเทศเนปาลเมื่อปี 2558 และให้ความช่วยเหลือกรณีสันเขื่อนเซ-เปียนน้ำน้อยแตกที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปี 2561
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาหลักสูตรสำหรับทีมบุคลากรทางการแพทย์ และระบบในการเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อตอบสนองต่อภาวะภัยพิบัติ ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งมอบให้กรมการแพทย์เป็น EMT coordinator/ EMT Focal point หากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือภัยพิบัติทั้งในประเทศเทศหรือภูมิภาค ทีมเมิร์ท สามารถออกปฏิบัติการได้อย่างทันท่วงที อยู่ได้ด้วยตนเอง ไม่รบกวนทรัพยากรท้องถิ่น โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันพัฒนาทีม EMT จนได้รับการรับรองตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกเมื่อวันที่ 30-31 กรกฎาคม 2562 นอกจากนี้ ยังมีแผนการขยายผลการพัฒนาทีม Thailand EMT ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2562 – 2564) ทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์การเรียนรู้ และศูนย์การฝึกอบรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ร่วมกับองค์การอนามัยโลก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมาตรฐานสากลต่อไป
