ก่อนเปิดเทอมเจ้าลูกชายคนโต “สรวง สิทธิสมาน” หรือ“เฉินเทียนอี้” ซึ่งอยากจะซึมซับความอลังการของธรรมชาติประเทศจีนตามคำร่ำลือ จึงวางแผนท่องโลกลำพัง มีเป้าหมายสู่เมืองที่อยู่ในระดับตำนาน ช่วงแรกทุกอย่างผ่านไปด้วยดี จนกระทั่งไปถึงจิ่วจ้ายโกว แต่ไม่ได้เที่ยวจิ่วจ้ายโกว! นั่นหมายความว่าการท่องโลกครั้งนี้ไม่เป็นไปตามแผนเสียแล้ว แต่เหตุการณ์ที่ได้พบในดินแดนที่ไม่ได้อยู่ในหมุดหมาย กลับกลายเป็นสถานที่แห่งความประทับใจที่ทำให้ได้ข้อคิดที่น่าสนใจ และถ่ายทอดผ่านบทความนี้
……………………………
Life was like a box of chocolates...
มาจิ่วจ้ายโกว แต่ไม่ได้เที่ยวจิ่วจ้ายโกว…
หลายครั้งชีวิตก็ไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าเราจะพยายามวางไว้ดีอย่างไร และบางครั้งชีวิตนอกเหนือแผนนั้นมันช่างมหัศจรรย์นัก...
"จิ่วจ้ายโกว" (九寨沟) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของประเทศจีน ด้วยทิวทัศน์หุบเขาลึกที่มีแหล่งต้นน้ำบริสุทธิ์ ใสสะอาดเป็นสีสันตามแร่ธาตุธรรมชาติในบริเวณนั้น
ผมได้วางแผนจัดทริปลุยเดี่ยวท่องเที่ยวไปยังจังหวัดในภาคใต้ในเมืองจีนเป็นเวลาเกือบ 2 สัปดาห์โดยมีจิ่วจ้ายโกวเป็นเป้าหมายหลักในการเดินทางครั้งนี้ รวมกับอีก 2 สถานที่ในตอนใต้ของจีนระดับ The must ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตนี้จะต้องไปให้ได้สักครั้ง
ผมได้ท่องเที่ยวไปยังจังหวัดกุ้ยหลิน (桂林) ในมณฑลกว่างซี (广西) ซึ่งเป็นพื้นที่เทือกเขาหินปูนรูปทรงประหลาดที่มีแม่น้ำหลีเจียงไหลผ่าน ความสวยงามของกุ้ยหลินราวกับสวรรค์บนดิน แต่แอบกระซิบเบา ๆ ว่าแดดของกุ้ยหลินร้อนราวกับนรกบนดิน
ผมเดินทางต่อไปที่จางเจียเจี้ย (张家界) เป็นเมืองระดับจังหวัดในมณฑลหูหนาน (湖南) เป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย (Zhangjiajie National Park) ที่เป็นหนึ่งในมรดกโลก ด้วยทิวทัศน์ระดับ AAAAA และเป็นสถานที่ฉากภาพยนต์ที่ใชถ่ายทำเรื่อง Avatar ของผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน
จากนั้นผมก็มาถึงมณฑลเสฉวน (四川) ซึ่งเป็นที่ตั้งของหุบเขาจิ่วจ้ายโกว (九寨沟) เป้าหมายหลักของการเดินทางในครั้งนี้ แต่หลังจากนั่งรถบัสจากเฉิงตู (成都) เข้ามาในหุบเขาจิ่วจ้ายโกวเป็นเวลา 9 ชั่วโมง ผมเพิ่งจะพบว่า จิ่วจ้ายโกวปิดปรับปรุง....
เนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวในช่วงต้นปี 2019 ทำให้บางส่วนของสถานที่ท่องเที่ยวในจิ่วจ้ายโกวเกิดชำรุดเสียหาย ทางรัฐจึงต้องดำเนินการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่ จนตอนที่ผมมาถึงแล้วด้วยความไม่รู้เพราะไม่ได้ติดตามข้อมูลข่าวสารมาอย่างละเอียด
หลังจากที่ฝันมานาน หลังจากที่เก็บเงินมาตลอดครึ่งปีเพื่อทริปนี้ แต่จิ่วจ้ายโกวดันปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวอย่างผมเข้าไปเยี่ยมชม
แล้วจะอย่างไร จะให้ผมกลับหรือ?
มาถึงนี่แล้วคงต้องหาที่ไปให้ได้ ผมจึงทำการหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวอื่นรอบ ๆ จิ่วจ้ายโกว ซึ่งก็มีที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยวันแรกผมเลือกไปที่ อุทยานหวงหลง (黄龙huanglong) ที่ห่างออกไปประมาณ 2 ชั่วโมงจากจิ่วจ้ายโกว เป็นสถานที่มรดกโลกโดยยูเนสโก ที่งดงามด้วยภูมิทัศน์ภูเขาสูงยอดปกคลุมด้วยหิมะ และความหลากหลายของระบบนิเวศน์ทางกายภาพเช่น น้ำพุร้อน น้ำตก แร่ธาตุกำมะถัน หรือทางชีวภาพ ทั้งแพนด้า หรือลิงจมูกเพิดก็สามารถพบเจอได้ที่นี่
แต่ที่ผมประทับใจยิ่งกว่าคือวันต่อมา ผมได้ไปรู้จักกับพนักงานในโรงแรมที่เป็นชาวเผ่าจั้งจู๋ (藏族) หรือชนเผ่าทิเบต เขาเสนอให้ผมจ้างเขาให้ขับรถพาไปเที่ยวยังทุ่งหญ้า Zoige (若尔盖草原) ที่ซึ่งเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ใน "เขตปกครองตนเองชาวทิเบตอาป้า" (阿坝藏族自治州ĀbàZànɡZúZìZhì Zhou) ทางตะวันตกเฉียงเหนือในมณฑลเสฉวน
หลังจากนั่งรถมาประมาณ 4 ชั่วโมง เราก็มาถึงกันที่ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่มีเนินเขาสูงใหญ่สลับกับที่ราบโล่งมีหญ้าขึ้นอยู่ทั่วไปหมดแต่มีต้นไม้น้อยมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะที่ทุ่งหญ้าแห่งนี้สูงขึ้นมาจากระดับน้ำทะเลประมาณ 3,800 เมตร ทัดเทียมกับความสูงของที่ราบสูงทิเบตเลยทีเดียว เดินไปเดินมา ขยับตัวนิดเดียวก็เหนื่อยแล้ว นั่นเป็นเพราะอากาศบนนี้เบาบาง ออกซิเจนน้อย และความดันสูง
คนที่นี่เป็นมิตรมาก ต้อนรับผมราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน พวกเขามักจะพูดว่า
"吃得好,玩儿得开心,就像你自己家一样”
“กินให้อิ่ม เล่นให้สนุก ทำตัวให้สบาย ให้เหมือนที่นี่เป็นบ้าน"
บนทุ่งหญ้าที่นี่เต็มไปด้วยจามรี บนจานอาหารของผมก็เช่นกัน พวกเรานั่งกินเนื้อจามรีต้มในน้ำซุปหม่าล่าอยู่ในเต็นท์ผ้าใบที่มีภาพวาดพระโพธิสัตว์ตามความเชื่อทางศาสนาของชาวทิเบต เป็นบ้านของชาวทิเบต และเป็นร้าน Hot Pot แบบดั้งเดิมของจีน
คนที่นี่ใช้ชีวิตอยู่กับจามรี พวกเขาเลี้ยงจามรีด้วยวิธีปศุสัตว์ที่ไม่ทันสมัยนัก พวกเขาจะปล่อยให้สัตว์ที่เลี้ยงให้ไปหากินเอาเองตามธรรมชาติ ไร้ซึ่งวิทยาศาสตร์ใด ๆ ในการปศุสัตว์ นอกจากจามรีแล้ว พวกเขายังเลี้ยงม้า ลา ล่อ และวัว
ผมนั่งคุยกับชาวทิเบตสามสี่คนกลางทุ่งหญ้า หนึ่งในพวกเขาค่อย ๆ นอนลงไปเอาศีรษะพิงกับพื้น ท่ามกลางแสงแดดแรงจ้าบนพื้นที่อยู่สูงเกือบ 4,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล หากว่ามีสีฟ้าทั้งหมด 100 เฉดสี เฉดสีที่มีความฟ้าที่สุดในนั้นคือสีของท้องฟ้าในวันนี้ ซึ่งปะปนไปด้วยเมฆหนาสีขาวมากมาย ขณะที่เจ้านกเหยี่ยวกำลังบินสูงวนไปมา ลักษณะของมันดูคล้ายกับกำลังพยายามจะบอกกับทุกสรรพสิ่งบนพื้นแผ่นนี้ว่า "ท้องฟ้าผืนนี้เป็นของข้า" ผมสังเกตุเห็นว่าคนที่เอนตัวนอนไปเมื่อสักครู่ได้หลับตาลงเสียแล้ว ลมที่พัดอยู่คงจะทำให้เขาง่วง ผมหันกลับไปมองก้อนเมฆสีขาวก้อนใหญ่ที่ดูหนาแน่นที่สุด พลางคิดไปว่า "เมฆก้อนนี้ก็ดูน่ากินเหมือนกันนะ"
ผมขี่ม้าเดินเป็นวงกลมสองสามรอบบนทุ่งหญ้าที่ล้อมรอบด้วยเนินสูง ทั้งที่เจ็บก้นกบ แต่กลับรู้สึกดีกว่าขับรถเบาะนุ่มบนถนนในเมือง ที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไร้กังวล เพราะเราอยู่ห่างไกลจากสถานที่ที่เรียกว่า "เมือง" เหลือเกิน ผมเดินขึ้นไปบนยอดเนินที่สูงที่สุดในบริเวณนั้น มองลงมาเห็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ นาน ๆ ครั้งจะมีรถผ่านไปหนึ่งคัน เมื่อมีรถผ่านมานั้น เราจะได้ยินเสียงรถวิ่งดังสนั่นจนตกใจ นั่นคงเป็นเพราะพื้นที่แถบนี้เงียบมาก นอกจากเสียงลมกับเสียงน้ำไหลแล้ว แทบจะไม่มีเสียงอื่น ผมคิดว่ามันแปลก ทั้งที่รถหนึ่งคันเสียงดังขนาดนี้ แต่เมื่ออยู่ในเมือง มีรถเป็นหมื่นเป็นแสนคัน เรากลับไม่รู้สึกว่ามันเสียงดังเหมือนบนนี้เลย
ผมนั่งฟังเพื่อนชาวทิเบตที่ผมจ้างมาขับรถให้ร้องเพลวจีบสาวที่นี่ มันไพเราะมาก ผมไม่เข้าใจ นั่นมันเทคนิคอะไรกันแน่ ผมอยากร้องได้แบบนั้นบ้าง ผมจึงถามเขาว่าเรียนมาจากไหน เขายิ้ม และตอบกลับมาว่า
"藏族的男孩子生下来只要是能走路就会跳舞,只要是能说话就会唱歌”
“ชายทิเบตเมื่อเกิดมา ขอเพียงเดินได้ ก็เต้นได้ ขอแค่พูดได้ ก็ร้องเพลงได้"
ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ผมมาที่นี่ได้อย่างไร ไกลขนาดนี้ สูงขนาดนี้ ผมไม่ได้วางแผนเอาไว้ ทั้งหมดที่ผมวางแผนเอาไว้คือการมาเที่ยวจิ่วจ้ายโกว ไม่ได้คิดเลยแม้แต่น้อยว่าจะมาที่นี่ แล้วถ้าจิ่วจ้ายโกวเปิดอยู่ในขณะที่ผมมาเที่ยว ผมก็คงจะใช้เวลาทั้งหมดในการเดินชมธรรมชาติในจิ่วจ้ายโกว และคงไม่ได้มาที่ทุ่งหญ้าแห่งนี้อย่างแน่นอน มันเหมือนกับเป็นโชคชะตาที่กำหนดให้ผมมาที่นี่
ชีวิตของผมนั้นเต็มไปด้วยแบบแผน การคิดถึงสิ่งที่ผมจะเป็น ที่ที่ผมจะไปในอนาคต คำนวณความเป็นไปได้ต่าง ๆ แต่สุดท้ายมันจะออกมาแบบที่เรากำหนดหรือ ?
บางทีก็ปล่อยให้โชคชะตาพัดพาเราล่องลอยไปบ้างก็ดีนะ ผมคิดถึงคำพูดประโยคหนึ่งในหนังเรื่อง Forrest Gump ที่ว่า
"Life was like a box of chocolates, you never know what you're gonna get"
“ชีวิตก็เหมือนกล่องช็อคโกแลต เราไม่มีทางรู้ว่าในนั้นมีอะไรอยู่บ้าง"
พอตกเย็น ฝนเริ่มลงเม็ด สลับกับแดดยามเย็น เกิดเป็นสายรุ้งสูงทอดยาวตกลงมากระทบกับเนินเขาและฝูงจามรีที่กำลังถูกคนขี่ม้าต้อนกลับไปยังคอก ผมคิดในใจ
ต้องมาไกลขนาดนี้เลยหรือ ถึงจะเห็นสายรุ้งที่งดงามเช่นนี้