แม้ว่าสังคมไทยทุกวันนี้จะเปิดกว้างและยอมรับในการแสดงออกและการเข้าถึงความรู้ในเรื่องต่างๆอย่างเท่าเทียมกันของคนทุกเพศทุกวัยมากกว่าในอดีต แต่เรื่องหนึ่งที่ยังคงเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมาตลอดถึงความเหมาะสมที่จะให้มีการศึกษาเรียนรู้กันอย่างเปิดเผยหรือควรเก็บงำไว้เป็นความลับสำหรับผู้ใหญ่ต่อไป...นั่นคือเรื่อง “เพศศึกษา” นั่นเอง
ประเด็นดังกล่าวมักเป็นผลมาจากการที่ผู้ใหญ่หลายคนยังคงมีภาพการรับรู้เกี่ยวกับการสร้างความรู้และความเข้าใจในเรื่องทางเพศให้กับเด็กและเยาวชนที่จำกัด เพราะคิดว่าเป็นเรื่องน่าอายที่เด็กจะเรียนรู้เรื่องพวกนี้ ทางที่ดีคือ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมหรือโตเป็นผู้ใหญ่แล้วธรรมชาติจะสอนให้เข้าใจได้เอง ผู้ใหญ่จึงมักสอนแค่วิธีป้องกันและหลีกเลี่ยงปัญหาการตั้งครรภ์เท่านั้น ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้เด็กยิ่งอยากรู้อยากลอง กระตุ้นให้เกิดความสัมพันธ์เชิงชู้สาวและการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร
แท้จริงแล้ว “เพศศึกษา” เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศ ที่ครอบคลุมตั้งแต่ความแตกต่าง ความเปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ระหว่างเพศชาย-หญิง ทั้งด้านร่างกาย ความคิดและจิตใจ ซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมการแสดงออกและความต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละเพศและช่วงวัย ตลอดจนแนวทางปฏิบัติในการดูแลภาวะสุขอนามัย พฤติกรรมทางเพศ ไปจนถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ เพื่อทำให้เกิดทัศนคติที่ดีและสามารถปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสมทั้งในทางชีวภาพและในทางสังคม
โดยธรรมชาติแล้วเด็กส่วนใหญ่มักมีความอยากรู้และช่างสงสัยในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองและสิ่งรอบตัวเป็นทุนเดิม โดยเฉพาะเรื่องทางเพศซึ่งมีรายละเอียดเปลี่ยนแปลงไปตามการเติบโตของร่างกายและจิตใจ ในเด็กเล็กอาจต้องการเพียงคำตอบที่ทำให้คลายความสงสัยเกี่ยวกับความแตกต่างทางเพศ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คุณพ่อคุณแม่ซึ่งมีความใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุดมักจะได้ยินคำถามที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ใหญ่ อาทิ อวัยวะสืบพันธุ์ใช้งานอย่างไร หรือทำไมของผู้ชายถึงแตกต่างจากผู้หญิง
แต่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอันเกิดจากฮอร์โมน โครงสร้างร่างกายและระบบเจริญพันธุ์ ที่รวมถึงการตกไข่และการมีรอบเดือนในผู้หญิง หรือการผลิตสเปิร์มในผู้ชาย ซึ่งต้องการคำแนะนำในการดูแลสุขอนามัยที่ดี การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ต้องการทั้งการเป็นตัวของตัวเองและการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน รวมถึงพฤติกรรมทางเพศที่อยากรู้อยากลอง ขยายขอบเขตไปสู่การมีความรักและความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศ ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
ด้วยความเปราะบางของประเด็นทางเพศในแต่ละช่วงวัย หากพื้นฐานความสัมพันธ์ภายในครอบครัวขาดความใกล้ชิดและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ก็ยิ่งเป็นจุดอ่อนที่อาจทำให้เด็กขาดโอกาสในการเรียนรู้และทำความเข้าใจเรื่องเพศในทิศทางที่ถูกต้อง มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทั้งในด้านสุขอนามัย ความสัมพันธ์หรือพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม ปัญหาการถูกคุกคามทางเพศ การเกิดโรคที่เกิดการมีเพศสัมพันธ์โดยขาดการป้องกัน รวมถึงการตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ ซึ่งล้วนมีผลบั่นทอนอนาคตที่ดีของเด็กทั้งสิ้น
จะเห็นได้ว่าเพศศึกษานั้นมีความกว้างไกลกว่าการกล่าวถึงเฉพาะเรื่องเพศสัมพันธ์มาก การสร้างภาพการรับรู้ที่ถูกต้องโดยเฉพาะในกลุ่มคุณพ่อคุณแม่ และผู้ปกครองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การผลักดันการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาในกลุ่มเด็กและเยาวชนทำได้อย่างทั่วถึงและแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ด้วยแนวทางนี้เองที่นอกจากจะทำให้เด็กมีภาวะสุขอนามัยทางเพศที่ดีแล้ว ยังสามารถช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาทางสังคมที่หลายคนเป็นกังวลได้มากกว่าการเก็บไว้เป็นเรื่องลับๆสำหรับผู้ใหญ่เพียงเท่านั้น
ประกอบกับการที่คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักมีความผูกพันใกล้ชิดและได้รับความไว้วางใจจากเด็กมากกว่าใคร จึงทำให้การเริ่มต้นสอนเรื่องเพศศึกษาซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาต่อเนื่องยาวนานให้กับลูกๆนั้นมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จและเกิดประโยชน์ต่อตัวเด็กได้มากที่สุด เพื่อไม่ให้การสอนเพศศึกษาต้องเป็นเรื่องลับๆ ต่อไปนี้เป็น 6 แนวทางที่จะช่วยให้เด็กๆเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศจากคุณพ่อคุณแม่ได้ง่ายขึ้น
1.คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องสร้างความความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกๆผ่านกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยทำให้เด็กรู้สึกผ่อนคลายและเกิดความไว้วางใจเมื่อต้องการพูดคุยหรือขอรับคำปรึกษา
2.คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องรอให้เด็กสงสัยและถามก่อนเสมอไป แต่ให้หมั่นสังเกตพฤติกรรมของลูกและพยายามสร้างโอกาสในเวลาที่เหมาะสมสำหรับการพูดคุยและแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับเรื่องเพศ
3.คุณพ่อคุณแม่ต้องศึกษาหาความรู้และเตรียมทำการบ้านมาอย่างดีเพื่อป้องกันการถ่ายทอดความรู้แบบผิดๆและช่วยให้สามารถตอบข้อสงสัยได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน ซึ่งช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้มากยิ่งขึ้น
4.นอกจากวิธีการพูดคุยและถามตอบปัญหาแล้ว คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกใช้สื่อการสอนสมัยใหม่ทั้งในรูปแบบของสมุดภาพ สื่อออนไลน์หรือแม้แต่วิดีโอภาพเคลื่อนไหวที่จะทำให้เด็กเข้าใจได้ง่ายขึ้น
5.คุณพ่อคุณแม่ต้องเลือกใช้วิธีการสื่อสารและปรับใช้วิธีการสอนเพศศึกษาให้เหมาะสมกับเพศและช่วงวัยของเด็ก เนื่องจากเด็กต่างเพศและวัยนั้นมีประเด็นที่ต้องเน้นความสนใจที่แตกต่างกัน
6.สิ่งสำคัญคือ การจัดการสภาพแวดล้อมโดยการทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกๆได้เห็นและได้ซึมซับ โดยการสร้างความครัวที่มีความรักและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ให้ความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันเสมอ
ปัญหาเรื่องเพศโดยมากมักมีพื้นฐานมาจากการขาดความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องจนขยายกลายมาเป็นปัญหาสังคมในวงกว้าง ซึ่งจะสามารถคลี่คลายลงได้หากทุกคนยอมรับว่าการเรียนรู้เรื่องทางเพศหรือเพศศึกษานั้นเป็นสิ่งจำเป็นและเริ่มต้นได้จากสถาบันครอบครัว