"อนุทิน" ยันหารือนักวิจัยกัญชาต่างชาติ แค่แลกเปลี่ยนข้อมูล ไม่มีเอื้อประโยชน์เอกชน ไม่มีการให้เข้ามาปลูก 150 ไร่ แต่มีความต้องการให้ไทยส่งออกกัญชา เหตุสายพันธุ์ดี ทำยาได้ดี แจงนโยบายกัญชาทางการแพทย์ เริ่มจาก รพ. ใช้รักษา ค่อยขยายวงให้ รพ.ปลูก อสม. และครัวเรือนตามลำดับ เตรียมลงนามแก้กฎกระทรวงรับรองหมอพื้นบ้าน
วันนี้ (30 ก.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น. ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) หารือร่วมกับ นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่พาชาวต่างชาติมาหารือถึงกัญชาทางการแพทย์ โดยมีผู้บริหาร สธ.เข้าร่วม โดยใช้เวลาประชุมนานเกือบ 2 ชั่วโมง
นายประภัตร ให้สัมภาษณ์ภายหลังหารือว่า ตนได้รับการติดต่อจากนักวิจัยและผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกัญชาที่ใหญ่สุดของสหรัฐอเมริกา อิสราเอล และยุโรป ตนจึงบอกว่า ขณะนี้รัฐบาลไทยมีนโยบายที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้ คือ กัญชา จึงนำมาสู่การหารือเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดร่วมกับ รมว.สธ.และทีมงานของ สธ.ว่า ที่ดำเนินการอยู่ไปถึงไหน และทางต่างชาติที่ทำมาแล้ว 30 ปีเป็นอย่างไร ประเทศไทยมีเงื่อนไขอะไรที่ติดขัด มีอุปสรรคอะไร และทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ ซึ่งการทำให้ถึงมือเกษตรกร คือ เกษตรกรได้ปลูก ต้องมีคนมาช่วยซื้อ โดยเฉพาะการส่งออกไปให้ผู้ที่ดำเนินการผลิตภัณฑ์กัญชา ทั้งเครื่องสำอาง อุตสาหกรรมยาต่างๆ
นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้เป็นการหารือร่วมกับนักวิจัย ไม่ใช่เศรษฐีที่จะมาหารือเพื่อปลูกกัญชาตามข่าวแต่อย่างใด โดยคนที่มาเป็นคนที่มีความรู้และประสบการณ์เรื่องการปลูกกัญชา ก็มาแลกเปลี่ยนข้อมูลว่า ต่างประเทศใช้กัญชาอย่างไร ทั้งทีเอชซีและซีบีดี มีข้อจำกัดอย่างไร ซึ่งแต่ละประเทศก็ต่างกันไป แต่ที่สรุปได้คือหากใช้ถูกต้องทางการแพทย์มีประโยชน์ในการรักษา รวมถึงเทคนิคต่างๆ ทั้งทางอุตสาหกรรม เทคโนโลยีในการปลูกโอกาสในการสร้างรายได้ให้ประเทศไทยและเกษตรกร ซึ่งนายประภัตรมีความหวังดี ต้องการเห็นพี่น้องเกษตรกรมีทางเลือกในการสร้างรายได้ ไม่ได้มีการเอื้อประโยชน์ใดให้เอกชนเลย
"ผมสองคนมาจากประชาชน คิดส่วนตัวไม่ได้ แต่คิดถึงส่วนรวม คิดถึงเกษตรกร ไม่มีแม้แต่น้อยจะมาเอื้อประโยชน์บุคคลใดบุคคลหนึ่ง" รมว.สธ.กล่าวและว่า ส่วนตอนนี้ประเทศไทยก็กำลังเดินหน้ากัญชาทางการแพทย์ โดยกำลังจะเริ่มใช้กัญชาทางการแพทย์ในโรงพยาบาลสังกัด สธ.ก่อน และเตรียมที่จะลงนามกฎกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยการรับรองหมอพื้นบ้าน ที่ปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้หมอพื้นบ้านกว่า 3,000 คน รวมทั้งนายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวญ เป็นหมอพื้นบ้านได้ ก็จะสามารถไปรักษาคนไข้ตัวเองได้ ขณะที่องค์การเภสัชกรรม (อภ.) กรมการแพทย์ก็อยู่ระหว่างการปลูก เพราะจะใช้ของกลางอย่างเดียวไม่ได้ และเมื่อใช้ทางการแพทย์แล้วก็จะขยายวง เช่น โรงพยาบาลปลูกกัญชาได้หรือไม่ แล้วขยายวงไปที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่มีการขึ้นทะเบียนอยู่แล้ว ก็จะสามารถควบคุมได้ หากพบการรั่วไหลจากตรงไหนก็จะทราบและเอาผิดได้ และค่อยขยายวงไปจนถึงครัวเรือน ที่หัวหน้าครอบครัวต้องดูแลต่อไป
เมื่อถามว่ามีประเทศไหนพูดถึงประบการณ์ส่งออกซีบีดี นายอนุทิน กล่าวว่า เขาต้องการให้ส่งออกไปประเทศเขา เพราะเขาใช้ไม่พอ และเชื่อว่าสายพันธุ์ที่เราทำได้ดี เอาโลหะหนักออกไปให้น้อยที่สุดได้ จะเป็นสายพันธุ์ที่จะผลิตยามีสรรพคุณที่ดีที่สุด อย่างนี้เราก็ต้องฟัง ไม่ใช่ปิดกั้นไปหมด พบหน้าใครไม่ได้
เมื่อถามว่าจะติดอนุสัญญาระหว่างประเทศหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ถ้าทำทุกอย่างเพื่อการแพทย์ เพื่อมนุษยชาติก็ต้องมีข้อยกเว้น ทั้งนี้ เราจะเริ่มใช้จากในประเทศก่อน แต่ถ้ามีดีมานด์จริง ปีหนึ่งหลายพันล้านเหรียญ แล้วบอกติดอนุสัญญาก็ต้องหาทางแก้ไข คือ อย่างแรกทำให้คู่สัญญามั่นใจว่า ควบคุมดี ไม่มีการรั่วไหลไปตลาดมืด
เมื่อถามถึงกรณีกระแสมาวิจัยและใช้พื้นที่ไทย 150 ไร่ นายอนุทิน กล่าวว่า ยังไม่มีการคิดแม้แต่น้อย และตนยังไม่ทราบเรื่องนี้ วันนี้แค่มาหารือแลกเปลี่ยนข้อมูล และอภ.กับกรมการแพทย์ก็ปลูกอยู่ สำหรับความร่วมมือทางการวิจัย หากร่วมมือกับทางภาครัฐ โรงเรียนแพทย์ หากอยู่ในขอบเขตของกฎหมายก็เปิดช่อง ส่วนกังวลว่าจะมีช่องโหว่ ยืนยันว่า อะไรที่ห้ามก็ทำไม่ได้ ไม่มีช่องโหว่
นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ขณะนี้ร่างกฎกระทรวงรับรองหมอพื้นบ้าน ได้ปรับแก้แล้วเสร็จ โดยปลัด สธ.ได้ลงนามแล้ว เรื่งอยู่ที่สำนักรัฐมนตรี อยู่ระหว่างเสนอให้ รมว.สธ.ลงนามต่อไป ซึ่งหลังจากลงนามแล้วก็จะเปลี่ยนจากการรับรองโดยกรมฯ เป็นการรับรองตามพ.ร.บ.วิชาชีพแพทย์แผนไทย แต่จะต้องมีการออกใบประกอบด้วย ซึ่งได้มอบสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งเมื่อตรวจสอบรายชื่อตัวตนและคุณสมบัติแล้วก็จะส่งใบรับรองนี้ไปให้หมอพื้นบ้าน โโยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จก่อนที่จะมีการประชุมคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เพื่อให้เมื่อตำรับยารับการอนุญาตแล้วก็สามารถใช้ได้ทันที
