กลายเป็นความตื่นตระหนก เมื่อ จ.น่าน พบเกษตรกรหลายรายป่วยเป็นโรคเนื้อเน่า ที่เกิดจากแบคทีเรียกินเนื้อคน โดยปี 2562 มีผู้ป่วยถูกส่งมารับการรักษาที่โรงพยาบาลน่าน รวม 51 ราย เสียชีวิต 5 ราย หลายคนกังวลว่าเกิดการระบาดของเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคนขึ้นหรือไม่
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุม (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไขคำตอบทุกข้อสงสัย โดยระบุว่า แต่ละปีประเทศไทยจะมีผู้ป่วยโรคเนื้อเน่าประมาณ 100-200 คน กระจายในหลายพื้นที่ ซึ่งโรคนี้ไม่ได้เป็นโรคระบาดแต่อย่างใด แต่ที่บางพื้นที่มีผู้ป่วยจำนวนมากเป็นกลุ่มก้อน เนื่องจากคนในพื้นที่มีพฤติกรรมเสี่ยงคล้ายๆ กัน เช่น เกษตรกรในพื้นที่ที่ออกไปลุยนา ย่ำโคลน เกี่ยวข้าว ก็เสี่ยงที่จะมีบาดแผล และหากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีเชื้อเป็นเวลานานจากการทำงาน ก็มีโอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อจนลุกลามกลายเป็นโรคเนื้อเน่าได้เหมือนๆ กัน อย่างกรณีจังหวัดน่าน ก็ต้องพิจารณาถึงภูมิลำเนาของผู้ป่วยด้วย เพราะไม่ใช่ว่า เกิดผู้ป่วยขึ้นมาพร้อมกันทีเดียวหรือเกิดในพื้นที่เดียวกัน แต่อาจเกิดจากคนละพื้นที่แต่ส่งตัวมารักษาที่เดียวกัน เวลาใกล้เคียงกัน ทำให้ดูเหมือนมีผู้ป่วยจำนวนมาก แต่จริงๆ แล้วไม่ได้เกิดการระบาดขึ้นแต่อย่างใด จึงไม่ต้องตื่นตระหนกตกใจ
สำหรับการเกิดโรคเนื้อเน่านั้น นพ.สุวรรณชัย อธิบายว่า การเกิดโรคเนื้อเน่าได้ ต้องพิจารณาจาก 2 ปัจจัย คือ 1.ตัวเชื้อโรค ซึ่งหากเชื้อโรคมีความรุนแรง ก็เพิ่มโอกาสในการที่เชื้อจะลุกลามจนกินเข้าไปในเนื้อคนได้ ซึ่งส่วนมากแล้วจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และ 2.ตัวมนุษย์เอง ทั้งในเรื่องของพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้แผลเกิดการติดเชื้อและเรื่องของภูมิคุ้มกันร่างกาย
“แม้จะสัมผัสกับเชื้อแบคทีเรีย ก็ไม่ได้แปลว่าจะเกิดการติดเชื้อแล้วลุกลาม จนเชื้อกินเนื้อไปเรื่อยๆ และเกิดโรคเนื้อเน่า เพราะคนเรามีผิวหนังที่ช่วยป้องกันเชื้อเข้าสู่ร่างกาย รวมถึงมีระบบภูมิคุ้มกันในการกำจัดเชื้อ แต่ประเด็นสำคัญคือการมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือไม่ เช่น เกิดบาดแผลขึ้น แล้วไม่รักษาความสะอาด และปล่อยให้แผลไปสัมผัสสิ่งสกปรก ยิ่งหากสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมนานๆ ก็มีโอกาสที่จะสัมผัสหรือได้รับเชื้อมาก ทำให้เกิดการติดเชื้อผ่านทางบาดแผลได้ เช่น เกษตรกรที่เกิดบาดแผลแล้วยังทำงานอยู่ ยังย่ำน้ำโคลน โดยไม่ได้ทำความสะอาดแผล จนเกิดการติดเชื้อในที่สุด เป็นต้น” นพ.สุวรรณชัย กล่าว
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า นอกจากบาดแผลที่เห็นได้ชัดเจนแล้ว ยังมีแผลที่มองไม่เห็น โดยแผลอาจเล็กมาก เช่น การถูหรือเกาแรงๆ จนเกิดแผลแต่เรามองไม่เห็น หากไปสัมผัสกับเชื้อก็อาจเกิดการติดเชื้อจนลุกลามได้เช่นกัน รวมถึงคนที่ภูมิต้านทานต่ำ เช่น คนที่ป่วยด้วยโรคระบบภูมิคุ้มกัน ติดเชื้อเอชไอวี คนที่ต้องกินยากดภูมิ หรือคนที่ป่วยโรคเรื้อรังอย่างเบาหวาน ที่เลือดไปเลี้ยงไม่ดี ทำให้ไปจัดการกับเชื้อโรคด้ยาก จึงมักเกิดแผลในผู้ป่วยเบาหวาน จนต้องตัดนิ้ว ตัดเท้า ตัดขา เป็นต้น หรือผู้สูงอายุ ที่ร่างกายเสื่อมถอยพอเกิดแผลแล้วอาจเกิดความรู้สึกช้า ทำให้ไม่ได้รักษาบาดแผลจนเกิดการติดเชื้อขึ้นได้
“คนส่วนใหญ่มักมองข้ามแผลเล็กๆ ไม่ได้ดูแลให้ดี จนสุดท้ายเกิดการติดเชื้อและลุกลามไปเรื่อยๆ ดังนั้น เมื่อเกิดแผลขึ้นมาจะต้องรีบล้างน้ำ ฟอกสบู่ ทำความสะอาดใส่ยา และปิดแผล เพื่อไม่ให้สัมผัสกับสิ่งสกปรกและเกิดการติดเชื้อได้ ยกเว้นแผลที่เกิดจากสัตว์กัดไม่ควรปิดบาดแผล แต่ควรไปพบแพทย์ ทั้งนี้ บาดแผลที่เกิดการติดเชื้อสามารถสังเกตได้จาก มีอาการบวม แดง ร้อน หรือเจ็บผิดปกติ ไม่หายสักที ให้นึกเสมอว่ามีการอักเสบ ซึ่งอาการอักเสบเกิดได้ทั้งจากการติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ แต่ที่บอกว่าติดเชื้อคือมักจะมีไข้ตามมา ก็จะคล้ายๆ กับสิวที่บวมแดงเจ็บแสดงว่าอักเสบมีการติดเชื้อต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะนั่นเอง ดังนั้น หากมีอาการดังกล่าวไม่ควรซื้อยากินเอง เพราะเชื้อบางตัวดื้อยา ยาที่ซื้อมากินเองอาจไม่ได้ผล หรือมักจะกินยาไม่ครบคอร์สหรือกินไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดความเสี่ยงเชื้อดื้อยาขึ้นได้ จึงควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจดูว่าเกิดจากการติดเชื้อใด ซึ่งโรงพยาบาลก็จะมียาปฏิชีวนะในการใช้รักษา” นพ.สุวรรณชัย กล่าว
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า แต่หากมาด้วยอาการของที่เริ่มมีเนื้อตายแล้ว คือ กินลึกลงไปในชั้นไขมันและอาจลึกถึงระดับชั้นผังพืด หรือกล้ามเนื้อ ซึ่งชั้นนี้ทำให้เกิดการกระจายลุกลามได้ง่าย แพทย์ก็ต้องลอกเนื้อที่ตายออก เพื่อเอาเชื้อออก ไม่ให้เกิดการกินลึกลงไปอีก แต่หากเกิดการกินเนื้อมากเข้า บางรายอาจต้องตัดอวัยวะ เช่น ตัดนิ้ว ตัดขา เป็นต้น และยิ่งเชื้อลุกลามจนเข้าสู่กระแสโลหิต ก็อาจเกิดการติดเชื้อในกระแสโลหิตจนทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งส่วนใหญ่คนที่เสียชีวิตจากโรคเนื้อเน่านั้น มาจากการติดเชื้อในกระแสเลือด
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า คนที่มีความเสี่ยงจึงต้องสวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น ชาวนา เกษตรกร ที่มักเกิดขึ้นบ่อย ก็ควรจะต้องสวมรองเท้าที่ช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่เท้า ไม่สัมผัสกับน้ำหรือสารเคมีมากจนเกินไป เพราะการแช่ในน้ำนานๆ ทำให้ผิวเปื่อยจนเชื้อสามารถแทรกตัวผ่านเข้าไปได้ หรือเสี่ยงเกิดบาดแผลได้ง่าย เช่นเดียวกับการสัมผัสสารเคมีบ่อยๆ นานๆ ก็ทำให้การป้องกันตัวเองของผิวหนังแย่ลง จนเกิดการติดเชื้อได้ แต่อย่างที่บอกว่า การติดเชื้อขึ้นกับภูมิคุ้มกันของแต่ละคน และระยะเวลาในการสัมผัสเชื้อด้วย ยิ่งสัมผัสนานก็ยิ่งเสี่ยงติดเชื้อได้ง่าย
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า จริงๆ แล้วโรคเนื้อเน่าจากแบคทีเรียกินเนื้อก็ไม่ได้ต่างจากโรคเลปโตสไปโรซิส หรือโรคฉี่หนูเลย ที่เชื้อเข้าไปทางบาดแผลของเกษตรกร เพียงแต่แบคทีเรียกินเนื้อจะเกิดบริเวณที่แผลแล้วค่อยๆ ลุกลามออกไปจนเนื้อบริเวณนั้นตายเสียหาย แต่โรคฉี่หนูเมื่อติดเชื้อแล้วจะไปก่อให้เกิดปัญหาทั้งร่างกาย มาด้วยอาการไข้ แต่คนแข็งแรงมักคิดว่าเป็นไข้ธรรมดาหายเอง จนสุดท้ายอาจทำให้เสียชีวิตได้ และจะเกิดผลกับอวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต ปวดกล้ามเนื้อ ตาเหลือง อัตราตายก็สูง
ดังนั้น สิ่งสำคัญ คือ เมื่อเกิดบาดแผล ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ต้องดูแลอย่างดี อย่าละเลย ให้เปรียบเสมือนอาจติดเชื้อได้ตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้แผลเกิดการติดเชื้อจนลุกลาม แต่หากแผลเกิดการติดเชื้อขึ้นจริงๆ ต้องรีบไปพบแพทย์ อย่าปล่อยไว้ให้ลุกลาม ซึ่งสังเกตได้จากอาการบวม แดง ร้อน เจ็บ มีไข้ ก็จะลดความเสี่ยงโรคเนื้อเน่าที่ทำให้เนื้อตายจำนวนมากได้