xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองในครอบครัว/ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“พี่มีความขัดแย้งเรื่องการเมืองในบ้านบ้างไหม”
“ลูกพี่คิดอย่างไรเรื่องการเมือง”

“พ่อแม่ลูกทะเลาะกันเรื่องการเมืองบ้างไหม”

ดิฉันถูกถามด้วยประโยคทำนองนี้มาโดยตลอดทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง อาจด้วยเหตุที่ลูกชายเข้าสู่วัยรุ่น และได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งแรก ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ถูกแบ่งข้างแบ่งขั้วกันจนลุกลามไปสู่การแบ่งระหว่างรุ่น !

บทความชิ้นนี้น่าจะเป็นคำตอบแทนใจพ่อแม่ได้เป็นอย่างดี ถ่ายทอดโดยลูกชายคนโต “สรวง สิทธิสมาน” วัย 21 ปีที่มีความสนใจเรื่องข่าวสารบ้านเมืองมาโดยตลอด ลองฟังเสียงวัยรุ่นกันบ้าง และในฐานะที่เราเป็นพ่อแม่ที่อาจจะมีลูกอยู่ในวัยใกล้เคียงกันหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่ควรกระทำมากที่สุด คือการเปิดใจรับฟังเสียงของลูก

“การเปิดใจรับฟัง” ต่างจาก “การฟังผ่านหูเพียงให้ได้ยิน” ค่ะ
…………………………………
วันก่อน ระหว่างครอบครัวเราไปกินข้าวกลางวันร่วมกัน 4 คนที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านฝั่งธนฯ มีคนรู้จักคุณพ่ออาจจะจากหน้าจอทีวีเข้ามาสวัสดีและขอถ่ายรูปด้วย เป็นครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูก

“มีเรื่องขอคำแนะนำนิดค่ะ...” คุณผู้หญิงที่เข้ามาขอถ่ายรูปเปิดฉากสนทนา

“อะไรหรือครับ” คุณพ่อตอบ

“คืออยากจะขอคำแนะนำน่ะค่ะว่าเราควรจะคุยกับลูกอย่างไร คือเขาคิดไม่เหมือนเราเลยค่ะ เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเดิม ไม่ค่อยฟังพ่อแม่ ไปเชื่อนักการเมืองพรรคนั้นน่ะค่ะ เถียงกับเราได้ทุกเรื่องเลย ไม่รู้จะทำอย่างไร...” คุณผู้หญิงกล่าวยิ้ม ๆ ขณะที่คุณลูกชายของเขายืนอยู่ไม่ไกล

คุณพ่อยิ้ม หันมามองหน้าผมกับน้องชายที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะอาหาร พลางตอบทำนองว่าไม่ต้องทำอะไรมากหรอกนอกจากรับฟังลูก พยายามพูดจากันด้วยเหตุผล และอะไรอีกบางประโยคที่ผมฟังไม่ถนัดนัก คล้าย ๆ จะบอกว่าครอบครัวเราก็เป็น และไม่จำเป็นที่จะต้องคิดเหมือนกัน อย่าตกใจ ท่านเชื่อว่าสภาพการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับอีกหลายครอบครัว

“....ใช่มั้ยลูก” คุณพ่อพูดเบา ๆ หยอดข้ามโต๊ะมา

เหตุการณ์วันนั้นทำให้ผมคิดต่อไปถึงเรื่องความขัดแย้งในประเทศของเราที่เกิดขึ้นมานาน ตั้งแต่ผมยังเด็กยังไม่มีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง และยังไม่รู้เรื่องการบ้านการเมืองอะไรมากมายนัก ฟังแต่คุณพ่อคุณแม่เล่าให้ฟัง จนกระทั่งวันนี้ที่ผมอ่านหนังสือติดตามข่าวสารและสนทนากับเพื่อนมากขึ้น รวมทั้งผ่านการใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งแรกในชีวิตไปแล้ว

หากจะพูดถึง “ประชาธิปไตย” เราคงมองว่ามันคือระบอบการปกครองระดับประเทศ ที่มีระบบการเลือกตั้ง และให้ความสำคัญกับประชาชนเสียงข้างมาก แต่แนวคิดแบบประชาธิปไตยยังสามารถมาปรับใช้กับการอยู่ร่วมกันในสังคม แม้กระทั่งการปรับใช้ในเสกลเล็กระดับครอบครัว

อย่างที่คนไทยทุกคนทราบดีว่า ในขณะนี้ บ้านเมืองเรากำลังประสบกับวิกฤติทางการเมือง ถึงแม้ว่าการเลือกตั้งจะเสร็จสิ้นไปแล้ว ได้นายกฯคนใหม่ (เก่า) มารับตำแหน่งแล้ว แต่ความขัดแย้งดูจะไม่ลดลงแม้แต่น้อย ฝ่ายหนึ่งถูกครหาว่าโกงการเลือกตั้ง และสืบทอดอำนาจ ส่วนอีกฝ่ายก็ถูกกล่าวหาว่าล้มล้างการปกครอง

โดยความขัดแย้งในครั้งนี้ดูจะมีใจความสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องของช่วงวัย เป็นความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่

และแน่นอนว่าความขัดแย้งในครั้งนี้ล้วนเกิดขึ้นในหลายล้านครอบครัว ที่คนเป็นพ่อแม่โตมาในสังคมยุคไทยที่ยึดมั่นในจารีตดั้งเดิมที่สืบทอดมายาวนาน กับเด็กวัยรุ่นที่โตขึ้นมาพร้อมกับโลกอินเทอร์เน็ตที่กว้างขวาง และเปิดรับเอาวัฒนธรรมจากประเทศทางตะวันตกที่ขึ้นชื่อว่าเป็น "ประเทศพัฒนา" จนไม่เห็นค่าของที่มาของรากฐานวัฒนธรรมและจุดเริ่มต้น คิดเพียงแต่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงเท่านั้น

ครอบครัวของผมก็ไม่ยกเว้น ความคิดเห็นทางการเมืองของผมกับพ่อแม่ มีความแตกต่างอยู่ประมาณหนึ่ง และมีความเป็นไปได้ว่าจะเถียงกันอย่างไม่จบสิ้นเช่นเดียวกับครอบครัวอื่น ๆ ในสังคมปัจจุบัน หากแต่ว่าพ่อแม่ของผมสามารถที่จะรับฟังความคิดเห็นจากผม และไม่บังคับให้ต้องคิดแบบเดียวกันกับพวกท่าน

แน่นอนว่าความขัดแย้งยังคงมีอยู่ แต่เราก็จัดการกับมันด้วยการผลัดกันพูดเหตุผลของแต่ละฝ่าย และใช้วาจาอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ไปโจมตีเหตุผลและความเชื่อของอีกฝ่ายอย่างไม่จำเป็น แต่เมื่อเกิดความข้องใจในข้อเสนอของอีกฝ่าย เราก็มักจะตั้งคำถาม และเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ทำการอภิปราย ก่อนที่จะทำการโต้แย้ง เสมือนดั่งเกมโต้วาทีเล็ก ๆ

เช่นนี้แล้วการตอบโต้ของสองฝ่ายที่มีรากฐานที่ต่างกัน จึงเป็นเพียงการสนทนาที่สร้างการเรียนรู้และข้อตกลงร่วมกันอย่างเท่าเทียม ตามหลักการของการเมืองระบอบประชาธิปไตยสากล

หากแต่ว่าในสายตาของผม หลายคนไม่สามารถเข้าใจหัวใจของความเป็นประชาธิปไตย ผมเห็นผู้ใหญ่หลายท่านพร่ำบ่นอย่างทุกข์ทรมานว่าลูกหลานของตนกำลังถูกนักการเมืองรุ่นใหม่ไฟแรงสะกดจิต บลาบลาบลา......

ในขณะที่ผมเห็นเพื่อน ๆ รุ่นราวคราวเดียวกันโพสต์ระบายความอึดอัด และกล่าวหาว่าผู้ใหญ่ในครอบครัวตัวเองนั้นหัวโบราณ ไดโนเสาร์เต่าล้านปี บลาบลาบลา.....

การเมืองไทยในวันนี้ยังไม่สามารถหาจุดที่ลงตัวได้ ผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่า แต่ละฝั่งฝ่ายไม่ยอมถอยให้กันคนละก้าว เพื่อรับฟังปัญหาของฝ่ายตรงข้าม และหาทางออกกันคนละครึ่งทาง กลับกัน ความขัดแย้งดูมีท่าทีที่จะทวีความเดือดขึ้นเรื่อย ๆ

อะไรคือความสงบ ?

อะไรคือประชาธิปไตย ?

ทำความเข้าใจอย่างครบถ้วนก่อนที่จะแสดงความคิดเห็นแล้วหรือยัง ?

ย้อนมองว่าตัวเองแสดงออกอย่างสอดคล้องกับตัวตนของอุดมการณ์แล้วหรือยัง ?

การจะทำให้สังคมเป็นอย่างอุดมคติ แท้จริงแล้วอาจต้องเริ่มจากตัวเอง และนำมาปรับใช้กับครอบครัว คนรอบข้าง ถ้าทุกคนสามารถทำได้ตามนั้นมากเท่าไหร่ ผมเชื่อว่าสังคมเราก็จะใกล้เข้าสู่คำว่า "อุดมคติ" มากเท่านั้น


กำลังโหลดความคิดเห็น