"Reading creates meditation, power, and self-discipline."
ดิฉันเป็นคนที่โชคดีที่โตมาในครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับศาสนา ในวัยเด็กเรียนก็เรียนโรงเรียนคาทอลิคแถวบ้าน ต้องตื่นเช้ามาเรียนคำสอนสักครึ่งชั่วโมง จึงได้เข้าห้องเรียนตามปกติ วันศุกร์ต้นเดือนจะเป็นวันทำมิสซา จะมีการถือศีลอด มีการงดเนื้อสัตว์ ไม่รับประทานอาหารหลังหกโมงเย็น
ในฐานะคริสตศาสนิกชน ปิดเทอมต้องเรียนศึกษาไบเบิล เพื่อรับศีลตามที่ศาสนากำหนด สิ่งเหล่านี้มันกล่อมเกลาจิตใจโดยไม่รู้ตัว ทำให้ชีวิตวัยเด็กเป็นเด็กสงบ อ่านหนังสือได้นาน และเรียนรู้เข้าใจผู้อื่นไว และส่งผลต่อการเรียนให้ดีขึ้นตามลำดับ
พอเริ่มโตเป็นวัยรุ่น "Me center" หรือการยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง ก็เริ่มก่อตัว เรารู้สึกว่าเราให้ความสำคัญกับตัวเอง ละเลยกับการสวดมนต์ ทำให้เราเลือกที่จะ"ชอบ" "ไม่ชอบ"และ "ไม่ใช่แนว" คุณผู้อ่านเคยสงสัยตัวเองมั้ยคะว่า จริงๆแล้วการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ควรจะทำให้เราสามารถฝึกความคิดได้เก่งขึ้น แต่ทำไมผู้ใหญ่หลายท่านจึงชีวิตยังคงสั่นส่าย ไม่สามารถดำรงจิตได้อดทน และแน่นิ่งเท่าครั้งยังเยาว์วัย
หรือเพราะความวุ่นวายของการทำงาน ความรับผิดชอบในบริษัท ในชีวิตลูกน้องโหมเข้ามาพร้อม ๆ กัน แต่หากย้อนไปในวัยเด็ก บางครั้งเรามีความสงบได้รวดเร็ว ข่มสมาธิได้ไว รู้ว่าพรุ่งนี้สอบ วันนี้เรานั่งอ่านหนังสือได้ไม่ใส่ใจเรื่องอื่น
ดิฉันกลับมาเริ่มนั่งสมาธิ 20 นาที สวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน เป็นเวลาสิบปี ชีวิตดิฉันเปลี่ยนไปมาก ในด้านผลงานที่ออกมามากขึ้น ต่อเนื่องขึ้น ปล่อยวางปัญหาได้ดี และไขข้อคับข้องใจได้คมขึ้น ทำให้มีความสนใจในเรื่องศาสตร์การคิด และสมาธิ
ปัจจุบันมาเป็นครูมีนักเรียนมากมาย สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าเด็กเรียนอ่อนเกิน 90% ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งที่ทำได้นาน จิตใจมักกังวล คิดมากเรื่อง แต่คิดไม่ขาด เลยได้ไปหาข้อมูลเรื่องสมาธิพบว่า การฝึกสมาธิสามารถทำในรูปแบบนั่งนิ่ง หรือสวดมนต์ด้วยถ้อยคำซ้ำ ๆ หรือ อ่านหนังสือก็ได้
การนั่งสมาธิบ่อย ๆ จะทำให้สมาธิเริ่มพัฒนาขึ้น เราจะไม่สึกว่ามันคือการบังคับให้ตัวเองอยู่นิ่ง ๆ แต่จะรู้สึกปลอดภัยทางใจ สงบ และหาทางออก ไขข้อขับข้องใจได้ชัดเจน นั่นเป็นเพราะคลื่นสมองมีการปรับดังนี้
นักวิทยาศาสตร์พบว่า คลื่นสมองแบ่งเป็นความถี่ดังนี้
1. ความถี่สูง 30-100 เฮิร์ตซ์ (Gamma State) เมื่อสมองอยู่ในภาวะนี้จะทำให้กระตือรือร้นและจำแม่นแต่ถ้าอยู่ในภาวะความถี่สูงนานจะทำให้เป็นคนกังวล
2. กลาง 13-30 เฮิร์ตซ์ (Beta State) คลื่นระดับนี้จะทำให้วิเคราะห์ วางแผน ประเมินเก่ง
3. ชะลอ 9-13 เฮิร์ตซ์(Alpha State) จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ความถี่ของคลื่นสมองนี้จะเกิดหลังการเล่นโยคะ เดินเล่นในสวน ออกกำลังเบาๆ
4. สมาธิ 4-8เฮิร์ตซ์ (Theta State) คือภาวะสู่สมาธิ มีความคิดที่ลึกซิ้ง มีความใกล้เคียงกับการง่วงนอน (เอาเป็นว่าถ้าไม่หลับก็คิดออก) เข้าใจสถานการณ์ ประมวลออกมาเป็นภาพได้
5. สงบ 1-3 เฮิร์ตซ์(Delta State) คือ ภาวะตื่นจากปัญหา เพราะเข้าใจในตัวเองและรอบข้างชัดเจน นั่นคือ คือคนมีวิจารณญานสูง
วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วถึงความจริงของการนั่งสมาธิ การทำสมาธิไม่จำเป็นต้องนั่งนิ่ง ๆ แต่สมาธิสามารถเกิดจากการสวดมนต์ภาวนา และที่สำคัญสามารถเกิดจากการอ่านหนังสือนาน ๆ จดจ่อกับเนื้อหาให้ได้เกินหนึ่งชั่วโมง เราจะสามารถฝึกปรับสมดุลความคิด รู้ว่าอะไรควรเร็ว ควรช้า ควรรอ ควรฝึกต่อเนื่อง เพราะเมิ่อสมองพัฒนาปรับคลื่นได้ดีแล้ว ควรทำต่อเพราะสมองของเรามีแนวโน้มจะกลับมาเหมือนเดิมได้ทุกเมื่อ
ครูฮ้วง
-----------------
ครูฮ้วง-เสาวลักษณ์ ลี้รุ่งเรืองพร เจ้าของสถาบัน Campus Genius Center ผู้สอนหลักสูตรติวเข้มเพื่อการสอบ SAT ด้วยแนวคิดแบบ Critical Thinking ที่ช่วยให้นักเรียนสามารถยื่นคะแนนเข้าเรียน และประสบความสำเร็จในการเรียนคณะอินเตอร์ทั้งในและต่างประเทศ