หนึ่งในความคาดหวังที่มาพร้อมกับความกังวลใจของคุณพ่อคุณแม่หลายๆ คน คือ ความปรารถนาให้ลูกๆ สามารถสอบเข้าเรียนโรงเรียนที่มีชื่อเสียงได้ ยิ่งมีผลการเรียนเป็นที่หนึ่งเหนือเพื่อนร่วมชั้นทั้งหมดแล้ว ดูจะเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ว่าตัวเองกำลังพาลูกมาถูกทาง
แน่นอนว่า สิ่งนี้ล้วนเกิดจากความปรารถนาดีและปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลการเรียนที่ดี ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนที่จะช่วยให้เด็กมีอนาคตที่สดใส แต่บ่อยครั้งที่คนในครอบครัวมักส่งผ่านความคาดหวังด้านการเรียนในรูปแบบของความเครียดและความกดดันให้กับเด็กๆโดยไม่รู้ตัว
หลายครอบครัวเร่งเด็กเล็กเรียนให้อ่านออกเขียนได้ จนละเลยที่จะเสริมสร้างพัฒนาการด้านอื่นๆ ให้เหมาะสมกับช่วงวัย ไม่ต่างจากการเคี่ยวเข็ญเด็กโตให้จดจ่ออยู่กับผลการเรียนจนปิดกั้นโอกาสในการเรียนรู้มิติอื่นในชีวิตเพื่อบ่มเพาะบุคลิกภาพเฉพาะตัว
การโยนภาระและความคาดหวังเรื่องผลการเรียนให้เด็กต้องแบกรับไว้เพียงลำพัง ถือเป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ต่อตัวเด็กได้เสมอ เด็กหลายคนตกอยู่ในภาวะความเครียดและความผิดหวังรุนแรงเมื่อผลการเรียนไม่เป็นดังที่หวัง อยู่กับความกลัวและหวาดระแวงว่าจะทำให้ครอบครัวเสียใจ บางคนตัดสินใจทำผิดกฏ โกงหรือเอาเปรียบเพื่อนคนอื่นเพื่อให้ได้ผลคะแนนที่ดีกว่า ขณะที่เด็กหลายคนหาทางออกโดยมีพฤติกรรมต่อต้านและพยายามทำสิ่งที่ตรงข้ามกับความคาดหวังของครอบครัว
คุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่ต่างตระหนักถึงความเสี่ยงดังกล่าวมากขึ้น โดยรับรู้ถึงความจำเป็นในการสร้างสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตกับการเรียนให้กับลูก รวมถึงการปรับเปลี่ยนบทบาทของตัวเองจากผู้สั่งการและประเมินผลมาเป็นเพื่อนร่วมทางในการเรียนรู้ไปพร้อมกัน ต่อไปนี้จึงเป็นวิธีการง่ายๆที่คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยให้ลูกๆ มีผลการเรียนที่ดีได้ไม่ไกลเกินเอื้อม
1.ดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด - ในสังคมปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่มีความจำเป็นต้องทำงานไปด้วยและเลี้ยงลูกไปด้วยเพื่อให้มีรายได้ที่เพียงพอมาใช้จ่ายในครอบครัว สิ่งที่ตามมาคือการมีเวลาให้กับลูกน้อยลงเพราะต้องพึ่งพาพี่เลี้ยง โรงเรียนหรือสถาบันกวดวิชามาแบ่งเบาเวลาการดูแลลูกไปแทน ความมั่นใจที่ว่าการที่ลูกได้เรียนโรงเรียนที่ดี มีคุณครูที่ดี ได้เรียนพิเศษเพิ่มเติมจะช่วยให้ผลการเรียนดีได้ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด แต่จะเป็นเรื่องที่ดีกว่ามากหากคุณพ่อคุณแม่ไม่ละเลยที่จะคอยติดตามสิ่งที่ลูกได้เรียนในแต่ละวันด้วย
คุณพ่อคุณแม่ควรจัดเวลาสำหรับลูกในทุกเย็นเพื่อให้เค้าได้เล่าให้ฟังว่าวันนี้ได้เรียนรู้อะไรบ้าง มีตรงไหนที่ไม่เข้าใจหรืออยากแลกเปลี่ยนความเห็นกัน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เด็กได้ทบทวนบทเรียนแล้วยังช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ได้ติดตามการเรียนของลูกอย่างใกล้ชิด รวมทั้งได้สังเกตอารมณ์ ความคิดและการแสดงออกของลูกไปพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม พึงระวังเสมอว่ามีเส้นกั้นบางๆระหว่างการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดกับการจับผิดที่ทำให้เด็กรู้สึกว่ากำลังถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลาจนอาจเกิดความไม่ไว้วางต่อกัน
2.ฝึกความรับผิดชอบ - แรงขับเคลื่อนในการดำเนินชีวิตของผู้คนนั้นมักผูกติดอยู่กับเป้าหมายในแต่ละช่วงเวลาเป็นสำคัญ การฝึกให้เด็กรู้จักตั้งเป้าหมายของตัวเองโดยเริ่มต้นง่ายๆตั้งแต่การใช้ชีวิตประจำวัน การทำงานบ้าน เรื่องการเรียน และสิ่งที่ต้องการจะทำในอนาคต จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้เด็กรู้ว่ามีสิ่งที่ต้องทำ สามารถยึดโยงเป้าหมายเข้ากับแผนการ การจัดการตัวเองและการลงมือทำให้เกิดผลสำเร็จได้ตามที่ตั้งใจ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยลูกๆตั้งเป้าหมายด้านการเรียนที่ค่อยๆพัฒนาขึ้นตามความรู้และทักษะที่เพิ่มขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดความกดดันมากเกินไปและทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในแต่ละลำดับขั้น สิ่งสำคัญคือ พยายามแข่งขันกับตัวเองมากกว่าที่จะนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่น อาทิ ร่วมกันตั้งเป้าหมายว่าในเดือนนี้จะเรียนศัพท์ใหม่วันละ 10 คำ มากกว่าที่จะต้องเรียนศัพท์ให้ได้มากกว่าเพื่อน เมื่อสามารถรับผิดชอบเป้าหมายของตัวเองได้จึงค่อยๆรับผิดชอบต่อเป้าหมายที่สูงขึ้นเป็นลำดับ
3.สนับสนุนกิจกรรมเสริมทักษะ - บทบาทที่สำคัญอีกประการหนึ่งของคุณพ่อคุณแม่คือการหมั่นสังเกตความสนใจและความชอบของลูก เด็กแต่ละคนมีช่วงเวลาในการค้นพบความสนใจของตัวเองแตกต่างกัน คนในครอบครัวจึงควรตัดเอาอคติหรือความชอบของตัวเองออกไปเพื่อให้เด็กมีโอกาสได้ลองทำกิจกรรมเสริมทักษะที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมด้านศิลปะ การดนตรี การกีฬา หรือแม้แต่สันทนาการและการท่องเที่ยว โดยคอยประเมินแนวโน้มและทิศทางที่เด็กมีความสนใจและทำได้ดี
กิจกรรมเสริมทักษะทั้งหลายนอกจากจะทำให้เกิดความสนุก รู้สึกเพลิดเพลินใจและไม่เบื่อหน่ายต่อการเรียนรู้แล้ว ยังช่วยให้เด็กรู้ถึงศักยภาพและความชอบของตัวเองได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดทิศทางในชีวิตและการเรียนที่จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายนั้น สร้างแรงจูงใจในการเรียนและการพัฒนาตัวเองได้อย่างคาดไม่ถึง บทบาทของคุณพ่อคุณแม่ในการช่วยค้นหาตัวตนที่แท้จริงที่เด็กสมัครใจเดินไปสู่เป้าหมายเองจึงน่าจะเหมาะสมกว่าการคอยบังคับและเข้มงวดในการเรียนอยู่ตลอดเวลา
ผลการเรียนที่ดีนั้นเป็นจุดหมายปลายทางร่วมกันระหว่างคุณพ่อคุณแม่และลูกๆเสมอ จึงต้องไม่หลงลืมและปล่อยให้เด็กต้องแบกรับความคาดหวังและต่อสู้กับการเรียนโดยลำพัง กำลังใจและการสนับสนุนที่ดีจากคุณพ่อคุณแม่คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ลูกมีผลการเรียนดีได้โดยไม่ไกลเกินเอื้อม