นศ.4ส9 สถาบันพระปกเกล้า ชูโมเดล "HAPPINESS" แก้ขัดแย้งรัฐ-ปชช. โครงการย้ายบ้านรุกล้ำริมคลองขึ้นบก ย้ำต้องมีคนกลางหาจุดยืนร่วมทั้งสองฝ่าย กระตุกความคิดมองปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยกัน เผยชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญ 54 คลองลาดพร้าวย้ายบ้านสำเร็จ ได้คลองสวยน้ำใส เป็นต้นแบบสู่ชุมชนริมคลองอื่น
ดร.อภิรดี ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูง การสร้างเสริมสังคมสันติสุข รุ่นที่ 9 (4ส9) สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า กล่าวถึงผลการศึกษาเรื่องการจัดการความขัดแย้งเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข กรณีศึกษา การรุกล้ำลำน้ำสาธารณะของชุมชนริมคลอง กรุงเทพมหานคร ในงานรักษ์โลก : คุณภาพชีวิตบนวิกฤตสิ่งแวดล้อม ว่า คนกรุงเทพฯ อาศัยอยู่ริมน้ำมายาวนานตั้งแต่บรรพบุรุษ จนคิดว่าเป็นที่ของเรา ซึ่งบางพื้นที่มีการปลูกสร้างรุกล้ำแนวคลอง ทำให้คลองมีขนาดแคบลงจนเป็นอุปสรรคต่อการไหลของน้ำ ขยะที่มากขึ้นก็ไปอุดตันทำให้น้ำเน่าเสีย ถือเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นชัดเจนที่สุด คือ วิกฤตน้ำท่วมปี 2554 ที่ทำให้เกิดความเสียหายหลายร้อยล้านบาท
ดร.อภิรดี กล่าวว่า จากการสำรวจพบว่า มีคูคลองในพื้นที่ กทม.ถูกรุกล้ำ 1,161 คลอง จากผู้รุกล้ำ 23,500 ครัวเรือน ประชากรประมาณ 94,000 คน ซึ่งในปี 2555 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ดำเนินการตามกฎหมายกับผู้บุกรุกลำน้ำสาธารณะ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดหาที่พักอาศัยถาวรให้กับผู้บุกรุก และให้ กทม.รื้อย้ายบ้านที่รุกลำน้ำออก พร้อมขยายคลองสร้างเขื่อนคอนกรีต ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เมื่อมีการเข้ามาจัดระเบียบ ย่อมเกิดความเห็นต่างระหว่างภาครัฐและประชาชน จึงนำมาซึ่งความขัดแย้ง การร้องทุกข์ ถึงขั้นดำเนินคดี ดังนั้น นักศึกษา 4ส9 ที่ศึกษาเรื่องของการบริหารความขัดแย้ง จึงได้เข้ามาเป็นคนกลางในการหาทางออก แก้ปัญหาความขัดแย้ง สร้างสันติวิธี และความเข้าใจอันดีระหว่างกัน โดยใช้กรณีศึกษาการรุกล้ำคลองลาดพร้าวใน 4 ชุมชน คือ ชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญ 54 ชุมชนวัดบางบัว ชุมชนชายคลองบางบัว และชุมชนก้าวหน้า
ดร.อภิรดี กล่าวว่า การดำเนินการของทีม คือ ศึกษาวิเคราะห์ทางเอกสาร สำรวจพื้นที่จริง มีการรวบรวมข้อมูลทั้งจากภาครัฐ ประชาชน และเอ็นจีโอ จากการสัมภาษณ์ กิจกรรมเล่าเรื่องจากเพื่อนถึงเพื่อน เปิดเวทีสานเสวนา และการทำกิจกรรมเพื่อสังคม เพื่อให้เห็นภาพความขัดแย้ง ซึ่งมีทุกรูปแบบ เช่น การยึดเอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง จนตีกรอบล้อมตัวเอง โดยยืนยันว่า ไม่ย้าย เพราะไม่อยากเสียรายได้ เป็นหนี้ หรือแม้กระทั่งการไม่เชื่อมั่นในเจ้าหน้าที่รัฐเพราะคิดว่ามีการทุจริต เป็นต้น หลักการของการบริหารความขัดแย้ง คือ ต้องมีคนกลางที่นำคนที่มีจุดยืนต่างกันมาหาทางออกร่วมกัน ซึ่งการไม่ขัดแย้งและมีส่วนร่วมระหว่างกันไม่ว่าจะโครงการไหนก็ขับเคลื่อนได้แน่นอน
"ทีมงานจึงได้จัดสานเสวนาเพื่อให้เกิดความเข้าใจเป็นระบบระหว่างภาครัฐและเอกชน หาจุดยืนร่วมกันเพื่อให้ขับเคลื่อนโครงการไปด้วยกันได้ อะไรที่มีการเข้าร่วมและส่วนร่วมจะก่อให้เกิดสันติสุข อย่างกรณีนี้ ถ้ามองเห็นปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยกัน ซึ่งปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ใช่ปัญหาของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของทุกคน ก็ควรจะมาร่วมมือสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ตัวเราก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นมีประโยชน์ต่อทุกคนแน่นอน การปลุกจิตสำนึกเป็นเรื่องสำคัญมาก ใครๆ ก็อยากมีผลประโยชน์ทั้งนั้น อยากมีเงิน อยากมีชีวิตที่อยู่ที่ดี แต่ต้องเริ่มจากจิตสำนึกในการคิดก่อน เช่น ทิ้งขยะลงถัง ไม่ทิ้งลงคลอง ภาครัฐมีการอำนวยความสะดวกในเรื่องของการทิ้งขยะเพื่อลดรายจ่าย เป็นต้น การเปิดใจ ไว้ใจ เชื่อถือในการฟัง เจรจาจึงหาจุดร่วมตรงกลางได้" ดร.อภิรดี กล่าว
ดร.อภิรดี กล่าวว่า การศึกษานี้ทำให้ได้โมเดลที่เรียกว่า "HAPPINESS" คือ H = Home คือบ้านที่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการแล้วจะมีความสุข A = Attitude คือ การให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อการดำเนินโครงการ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ P = Policy คือ นโยบายต้องชัดเจนไม่ให้มีปัญหาในการนำไปปฏิบัติ P = Participation คือ การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย I = Integration คือ บูรณาการร่วมกัน N = Networking คือ การสร้างเครือข่ายที่ทำให้นโยบายนั้นสำเร็จ E = Environment คือ การอยู่ร่วมอย่างสันติสุขต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม S = Society คือ การคำนึงถึงการอยู่ร่วมกัน เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน และ S = Sustainability ความยั่งยืนในการดำเนินโครงการ ซึ่งชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญ 54 ถือว่ามีความสำเร็จในการดำเนินโครงการ สามารถสร้างบ้านย้ายคนขึ้นบกและขยายคลองสร้างเขื่อนให้มีความกว้างขวางสวยงามได้ ซึ่งจะถือเป็นต้นแบบในการนำไปใช้กับพื้นที่อื่นๆ ได้ เพราะทำให้เขาเห็นภาพในอนาคตที่ยังไม่เห็น แต่สำคัญ คือ ต้องมีคนกลางมีนำเอาโมเดล Happiness นี้ไปขับเคลื่อนเพื่อหาทางออกร่วมกัน ก็จะทำให้ขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ได้