ไม่มีใครปฏิเสธว่าละครเรื่อง “วัยแสบสาแหรกขาด - โครงการ 2” เป็นละครน้ำดี
ถึงขนาดที่มีจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นหลายท่านออกมาการันตี และบอกว่าอยากให้พ่อแม่ผู้ปกครองติดตามชมกันมาก ๆ เพราะจะได้ถือเป็นการช่วยเรื่องจิตวิทยาครอบครัวไปได้ด้วย
ดิฉันเองก็ติดตามด้วยเช่นกัน แม้จะไม่ได้ถึงขนาดตามติดทุกตอน แต่ก็เห็นได้ถึงความตั้งใจและการทำการบ้านของทีมงานก่อนที่จะเขียนบทและนำมาสู่การแสดง ก็ต้องขอชื่นชมและให้กำลังใจผู้ผลิตและผู้เกี่ยวข้องที่พยายามผลิตละครสร้างสรรค์สำหรับครอบครัวสู่สังคม
เนื้อหาของละครเรื่องนี้เป็นโครงการที่ 2 เดินเรื่องผ่านคุณครูในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่ผู้อำนวยการและทีมคุณครูมองเห็นปัญหาและพยายามช่วยเหลือลูกศิษย์ของตัวเอง โดยมีเด็กนักเรียน 5 คน เป็นตัวเดินเรื่องใน 5 กรณี และคุณครูต้องพาเข้าสู่โครงการพิเศษ 5 คน
คนแรกชื่อ ด.ช.พีท (ลูกพีท) อยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เป็นเด็กที่มีลักษณะ Temper Tantrum คือมีอาการร้องอาละวาด เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกเมื่อโกรธ หรือไม่พอใจในเด็กเล็ก โดยมักเริ่มจากการถูกขัดใจ หรือหงุดหงิด เด็กจะจัดการกับอารมณ์ดังกล่าวด้วยการร้องไห้ ตะโกน กรีดร้อง เหวี่ยงแขนขา กระทืบเท้า ทิ้งตัวนอนดิ้น รวมถึงการทำร้ายตัวเอง ผู้อื่น หรือทำลายสิ่งของ ฯลฯ
แม่ของลูกพีททำงานเป็นผู้จัดการกองถ่ายละคร พ่อเสียชีวิตตั้งแต่ลูกพีทยังไม่รู้ความ แม่ไม่ค่อยมีเวลาเลี้ยงลูก ปล่อยให้อยู่กับตายายที่เลี้ยงหลานตามใจมากประเภทสปอยล์แบบจัดเต็ม อยากได้อะไรให้หมดทุกอย่าง พอแม่มีเวลาอยู่กับลูกทีก็เจอกับอาการเอาแต่ใจ ทำให้กลายเป็นแม่ที่เข้มงวด ลูกพีทก็แสดงอาการกรี๊ดใส่ ยิ่งกรี๊ดตายายก็ยิ่งตามใจ เด็กก็ยิ่งเรียกร้อง จนแม่ทนไม่ได้พาลูกมาเข้าโครงการของโรงเรียน และเริ่มประสานการเลี้ยงดูทั้งจากตัวเองและตายาย ซึ่งพบว่าสิ่งที่ยากมากคือปรับพฤติกรรมผู้ใหญ่ยากกว่าการปรับพฤติกรรมเด็กหลายเท่า
คนที่สองชื่อ ด.ญ.ไออุ่น (อุ่น) อยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีปัญหาความหลากหลายในเพศของตัวเอง Gender Creative และเกิดความสับสนในใจเรื่องเพศสภาพของตัวเอง ชอบอยู่คนเดียว เก็บตัว พ่อแม่แยกทางกัน ต้องอยู่กับแม่ 4 วัน และอยู่กับพ่อ 3 วัน พ่อทำธุรกิจมีฐานะค่อนข้างดี ส่วนแม่ทำธุรกิจแล้วล้มเหลวหลายครั้ง ค่อนข้างจับจด รบกวนเงินพ่อเป็นประจำ อุ่นทำหน้าที่ไปขอเงินพ่อมาให้แม่ และมักจะโดนต่อว่า ดูถูกอยู่เสมอ ทำให้อุ่นรู้สึกลึก ๆ ว่าแม่อ่อนแอ และล้มเหลว ส่งผลให้อุ่นมีความไม่ภูมิใจ และไม่พึงใจในเพศหญิงของตัวเอง โดยเฉพาะเวลาที่คนอื่นมาย้ำ หรือมาพูดจี้ใจว่าจะเป็นเหมือนแม่ยิ่งไม่ชอบ อุ่นที่เห็นความอ่อนแอของแม่ยิ่งเกลียดความเป็นผู้หญิงของตัวเอง ซึ่งเป็นปัญหาที่แสนซับซ้อนและละเอียดอ่อนอย่างมาก อุ่นคือภาพสะท้อนของความหลากหลายทางเพศในยุคปัจจุบัน
คนที่สามชื่อ นายกายภัทร (ใบพัด) มัธยมศึกษาปีที่ 4 เป็นเด็กที่ความผิดปกติทางการเรียนรู้ พ่อแม่ของใบพัดเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ พ่อของใบพัดเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในกรุงเทพฯ เมื่อเสียชีวิตทุกอย่างจึงตกเป็นของใบพัด โดยมีลุงเป็นผู้จัดการมรดก แต่ลุงเป็นคนที่ไม่เคยรับรู้เลยว่าใบพัดหลานชายคนเดียวมีอาการออทิสติก จึงต้องทำความเข้าใจและร่วมมือกับโรงเรียน เพื่อทำให้ใบพัดเข้าไปเรียนร่วมในโรงเรียนปกติให้ได้
คนที่สี่ชื่อ นายมหาสมุทร (บุ๊ค) มัธยมศึกษาปีที่ 5 มีอาการ Gaming Addiction ติดเกมระดับคลั่งไคล้ ถึงขั้นไม่ยอมไปโรงเรียน ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน เข้าสังคมไม่เป็น ครอบครัวของบุ๊คเป็นครอบครัวที่มีความห่างเหิน แม่ทำงานร้านอาหารที่ต่างประเทศ บุ๊คอยู่กับพ่อที่วัน ๆ เอาแต่ทำงาน และเลี้ยงเขาด้วยการซื้อคอมพิวเตอร์ให้เล่นเกม เลี้ยงลูกด้วยเกม จนลูกมีอาการติดเกมขั้นรุนแรง ส่งผลให้การเรียนแย่มาก จนเกือบจะตก แม่กลับมาบ้านพอเห็นสภาพลูกก็แทบช็อคที่ลูกเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทำให้แม่ทนไม่ได้บังคับให้บุ๊คเข้าโครงการกับโรงเรียน และถูกส่งไปรักษาอาการติดเกม ในขณะที่พ่อเคยคิดเสมอว่า "แค่เด็กติดเกม ไม่เห็นจะเป็นปัญหา" จนสุดท้ายพ่อแม่ต้องร่วมมือกันเพื่อหาทางช่วยเหลือลูก
คนสุดท้ายชื่อ นางสาววีธารี (วี) มัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นเด็กหญิงที่ดูเพียบพร้อม สมบูรณ์แบบทุกอย่าง เรียนเก่ง ครอบครัวดี มีผลการเรียนดีเยี่ยม แต่ปัญหาที่วีมีคือ ต้องการเป็นที่หนึ่งตลอดเวลาและแพ้ใครไม่ได้ มีลักษณะของ Perfectionism ทำให้กดดันตัวเองตลอดเวลา ทั้งเรื่องการเรียน กีฬา ทำทุกอย่างต้องดีที่สุด ความกดดันตัวเองของวีทำให้เพื่อน ๆ ในห้อง กังวลว่าวีจะฆ่าตัวตาย จนกระทั่งเมื่อเข้าโครงการของโรงเรียน คุณครูได้รีบหาทางช่วยเหลือและคลี่คลายปัญหา
เด็กทั้ง 5 คน 5 ปัญหา เป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนปัญหาเรื่องเด็กและเยาวชนยุคนี้ได้เป็นอย่างดี การเดินเรื่องก็ต้องการจะสอดแทรกความรู้และวิธีการจัดการปัญหาต่าง ๆ ทั้งจากโรงเรียนและที่บ้าน ที่ต้องมีความร่วมมือกันจึงจะทำให้เด็กได้รับการแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม
เรื่องการแก้ปัญหาของเด็กและเยาวชนเรื่องนี้ มีมุมที่อยากสะท้อนไปถึงแนวทางแก้ปัญหาอย่างจริงจังของผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของโรงเรียนและครอบครัว
บทบาทของโรงเรียน......
ประการแรก - มีครูแนะแนวหรือนักจิตวิทยา
ถึงเวลาแล้วที่ทุกโรงเรียนควรมีครูแนะแนว หรือนักจิตวิทยาไว้คอยให้คำปรึกษาแก่เด็กและเยาวชนอย่างจริงจังและเหมาะสมกับบทบาท ที่ผ่านมาโรงเรียนส่วนใหญ่ก็มี ในยุคสมัยเมื่อดิฉันเรียนอยู่ระดับมัธยมศึกษาก็มี เราคุ้นกับครูแนะแนว แต่เราต้องยอมรับว่า ทัศนคติของโรงเรียนหลายแห่งต่อ ครูแนะแนว ยังมีที่มาว่าเป็นคุณครูที่ไม่ได้สอนวิชาการหรือสอนเด็ก และเป็นครูที่ค่อนไปทางอาวุโส ซึ่งโดยภาพรวมเด็กนักเรียนส่วนใหญ่จะไม่เข้าหาอยู่แล้ว แท้จริงครูแนะแนวมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่เด็กวัยรุ่นมีสภาพปัญหาที่ซับซ้อน การทำงานของครูแนะแนวจึงต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และการรับมือกับปัญหา รวมไปถึงให้ความช่วยเหลือ ซึ่งต้องทำงานเชิงรุกมากกว่ารับ และต้องประสานกับพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กด้วย
ประการที่สอง - ต้องพร้อมรับฟังลูกศิษย์ด้วยความเข้าใจ
จะว่าไปแล้วสำหรับคนที่เป็นครูบาอาจารย์ถ้ามีความรักในวิชาชีพที่ไม่ได้มุ่งเน้นสอนแค่วิชาการ แต่สอนวิชาชีวิตให้กับลูกศิษย์ด้วย จะใกล้ชิดกับเด็ก และเมื่อเกิดปัญหากับลูกศิษย์ ครูบาอาจารย์เหล่านี้จะรับรู้ได้ และพร้อมที่จะรับฟังลูกศิษย์ด้วยความเข้าใจ ก่อนจะหาทางช่วยเหลือต่อไป
ประการที่สาม - การวัดผลเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน
ประเด็นนี้มีความสำคัญมาก เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทิศทางของการศึกษาก็ปรับเปลี่ยนไปมาก ตัวชี้วัดและผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาก็ควรที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยด้วย รวมไปถึงการวัดผลให้กับเด็กพิเศษ ก็ควรจะต้องมีตัวชี้วัดที่แตกต่างกันด้วย
บทบาทของพ่อแม่ ผู้ปกครอง....
ประการแรก - อย่าโยนภาระให้โรงเรียน
เมื่อลูกเข้าสู่รั้วโรงเรียนแล้ว อย่าคิดว่าเป็นเรื่องของโรงเรียนฝ่ายเดียว หรือโยนภาระทุกอย่างให้โรงเรียน เป็นเรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องใส่ใจลูกหลานของตัวเอง อย่าคิดว่าลูกโตแล้วช่วยเหลือตัวเองได้ก็จบ จริงอยู่ลูกโตแล้วช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ก็อาจเกิดปัญหาได้ เพราะการอยู่ร่วมกันในสังคมมีทักษะหลายประการที่พ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่ควรมองข้าม ที่สำคัญควรให้ความร่วมมือกับโรงเรียนสม่ำเสมอ เพราะเมื่อเกิดปัญหาใดๆ จะทำให้เกิดความร่วมมือกับโรงเรียนเพื่อหาทางช่วยเหลือเด็กได้อย่างทันท่วงทีและเหมาะสม
ประการที่สอง - อย่าทำให้ลูกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
ถ้าเปรียบเทียบกับการเลี้ยงดูของชาวจีนก็ประมาณว่าเลี้ยงลูกเป็นจักรพรรดิน้อย ที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในบ้านคอยพะเน้าพะนอ อยากได้อะไรก็ได้ ไม่ว่าจะกิน จะนอน จะเล่น จะเที่ยว จะให้ลูกเป็นผู้กำหนดตั้งแต่เล็ก ยกให้ลูกเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะรักลูกอยากตามใจลูก โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้กำลังหล่อหลอมให้ลูกของเรากลายเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง และมองตัวเองสำคัญที่สุด ไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น
ประการที่สาม - สอนลูกแพ้ให้เป็น
ในที่นี้เป็นเรื่องการแข่งขันที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็ก เป็นเด็กที่ต้องชนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเรียน จะต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ ซึ่งอาจรวมไปถึงเรื่องอื่นๆ ยกตัวอย่าง พ่อแม่ที่เล่นกับลูก ถ้าเป็นเกมที่ต้องมีผู้แพ้ชนะ พ่อแม่มักยอมให้ลูกเป็นฝ่ายชนะตลอด เวลาลูกแพ้ ลูกมักร้องไห้หรืออารมณ์เสีย แทนที่พ่อแม่จะสอนให้ลูกรู้จักการแพ้ชนะอย่างเป็นธรรมชาติและถูกต้องตามกฎกติกา และให้เขาได้รู้จักการจัดการกับอารมณ์นั้น แต่พ่อแม่มักอ้างว่ารักลูก กลัวว่าลูกเสียใจก็เลยยอมแพ้ลูกตลอด จนเมื่อลูกต้องไปมีสังคมของเขาเอง เมื่อเขาแพ้ก็จะรู้สึกทนไม่ได้ หรือผิดหวังอย่างรุนแรง ไม่รู้จะจัดการกับปัญหานั้นๆ อย่างไร
ประการที่สี่ - อย่าขีดเส้นให้ลูกเดิน
พ่อแม่ประเภทนี้จะเชื่อว่าเส้นทางที่เลือกไว้ให้ลูก คือ เส้นทางที่ดีที่สุดเสมอ และมักเชื่อว่าตัวเองได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก โดยที่จะพูดย้ำกับลูกอยู่เสมอว่าเพราะพ่อแม่รักลูกถึงเลือกเส้นทางชีวิตเช่นนี้ให้ลูก โดยไม่ฟังเสียงของลูก เช่น วางเส้นทางเพื่อให้ลูกเดินตามรอยที่ตัวเองต้องการ โดยไม่ได้ดูความถนัด หรือความชอบของลูกเลย ปัจจุบันเด็กไทยประสบปัญหาข้อนี้อย่างมากในแทบทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องเรียน ที่เด็กมักเลือกเรียนตามที่พ่อแม่ต้องการมากกว่าที่จะรู้ว่าตัวเองชอบหรือถนัดอะไรหรือมีเป้าหมายชีวิตของตัวเองชัดเจน
ประการที่ห้า - ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น
ไม่ว่าลูกของเราจะเป็นเด็กพิเศษ หรือมีปัญหาเรื่องเพศสภาพ เป็นเรื่องที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรทำความเข้าใจและพูดคุยกับลูก ใช้ความรัก ความเข้าใจและการสื่อสารทางบวก เพื่อทำให้สัมพันธภาพระหว่างกันเป็นไปด้วยดี จากนั้น อาจจะต้องหาตัวช่วย เช่น นักจิตวิทยา หรือ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ลูกของเรากำลังประสบปัญหา เรื่องบางเรื่องต้องปรับที่ใจของพ่อแม่ก่อน เชื่อเถอะว่าลูกก็ทุกข์กับปัญหาของเขาไม่น้อย ความรักและความเข้าใจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเยียวยาทุกสิ่งอย่าง
ประการสุดท้าย - เวลาคุณภาพสำคัญที่สุด
เรื่องนี้บอกกันไม่ได้ว่าเวลาไหนที่มีคุณภาพที่สุด เพราะทุกคนล้วนรู้ดีว่าเวลาคือสิ่งสำคัญ และถ้าเราคิดว่าลูกคือดวงใจของเราที่สุด แล้วใยเราถึงจะไม่จัดสรรเวลาให้กับลูกของเราล่ะ การจัดลำดับความสำคัญมีความจำเป็นมาก การมีเวลามาก ๆ แต่ไม่ใช่เวลาคุณภาพก็เป็นปัญหาเช่นกัน ถ้าเรามีเวลาน้อยแต่เป็นเวลาที่มีคุณภาพ และพร้อมจะให้เวลาทุกครั้งที่ลูกต้องการ จะเป็นภูมิต้านทานชีวิตที่ดีให้กับลูกของเรา
นานทีจะมีละครดี ๆ ที่เหมาะกับครอบครัวในช่วงเวลาไพร์มไทม์
ถ้าจะขออะไรได้ ก็จะขอเพียงว่าอย่าเพียง “ชื่นชม” แต่ต้อง “ชม” กันจริง ๆ จัง ๆ
เพราะอยากจะให้เรตติ้งของละครเรื่องนี้ดีมาก ๆ ในระดับที่จะเป็นตัวอย่างให้ผู้ผลิตรายนี้และรายอื่น ๆ รวมทั้งสถานี ได้มีกำลังกาย กำลังใจและกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะได้รังสรรค์ละครคุณภาพออกมาแพร่ภาพในช่วงเวลาทำเงินทำทองเช่นนี้ต่อไปอีก