สพฐ.เผยภาพรวมรับนักเรียนเรียบร้อย ยันเด็กทุกคนต้องมีที่เรียน ยังมีโรงเรียนที่มีที่นั่งเหลือรองรับ พร้อมรับลูกที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ ตรวจสอบกรณีผู้ปกครองร้อง ร.ร.ดังไม่ปฏิบัติตามเกณฑ์
วันนี้ ( 11 เม.ย.) ดร.บุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยถึงการรับนักเรียนชั้น ม. 1 และม. 4 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปีการศึกษา 2562 ว่า ภาพรวมเป็นไปเรียบร้อยดีกว่าปีที่ผ่านมา ไม่มีปัญหาเรื่องการกระทำความผิด แต่มีนักเรียนและผู้ปกครองแสดงความกังวลว่า บุตรของตนจะมีที่เรียนหรือไม่ ถ้าลูกสอบไม่ผ่านจะไปเรียนที่ใด มีการสอบถามว่ารับรอบสอง รอบสามหรือไม่ ทั้งนี้ สพฐ.ประกาศชัดเจนว่าโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูงเปิดรับเพียงรอบเดียว ส่วนโรงเรียนทั่วไปการรับนักเรียนรอบถัดไปของแต่ละโรงเรียน จะเปิดรับตามจำนวนที่เหลืออยู่เท่านั้น ซึ่งขณะนี้โรงเรียนเริ่มรายงานมาแล้วว่าเหลือที่ว่างจำนวนเท่าใด ที่ผ่านมาก็ได้เปิดให้ยื่นความประสงค์ขอรับการจัดสรรที่เรียนแล้ว
“อยากฝากถึงผู้ปกครองทุกคนว่า ยังมีที่นั่งเรียนเหลือเป็นจำนวนมากในกรุงเทพฯ สพฐ.จะทำการแจ้งให้ทราบต่อไป อย่างไรก็ตาม กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะจัดที่เรียนให้ครบทุกคนอยู่แล้ว เพียงแต่จะเป็นโรงเรียนที่หมายปองหรือไม่ แต่ใจผมสนับสนุนให้นักเรียน เข้าเรียนในเขตพื้นที่บริการของตนเอง”นายบุญรักษ์ กล่าว
ดร.บุญรักษ์ กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ พล.อ.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษารมว.ศึกษาธิการ แจ้งมายัง สพฐ. ให้ติดตามเรื่องร้องเรียนหลัง ผู้ปกครองนักเรียนเข้ามาร้องเรียน เกี่ยวกับการดำเนินการรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2562 ของโรงเรียนมัธยมชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร โดยอ้างว่าคณะกรรมการรับนักเรียนของโรงเรียนดังกล่าว ไม่มีการประชุมเรื่องหลักเกณฑ์การรับนักเรียนใหม่ สพฐ. ได้มีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การรับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษที่มีการปรับลดจาก 7 ประเภท เหลือ 4 ประเภท และโรงเรียนไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวนั้น สพฐ.จะลงไปติดตามสอบถามต่อไป ว่าโรงเรียนมีการประชุมหลักเกณฑ์ และได้ประกาศหลักเกณฑ์การรับนักเรียนหรือไม่ ถ้าโรงเรียนไม่ทำให้ชัดเจน หรือไม่ได้ทำตามกระบวนการให้ถูกต้อง ต้องดำเนินการให้ถูกต้องต่อไป หากโรงเรียนพิสูจน์ได้ว่าทำถูกต้องทุกกระบวนการแล้ว ก็เป็นไปตามนั้น เนื่องจาก สพฐ.ไม่มีอำนาจไปกำหนดว่า ใครมีสิทธิเข้าเรียนบ้าง สพฐ.มีหน้าที่วางกติกากลางเท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และจังหวัดดำเนินการต่อไปตามอำนาจหน้าที่
“ส่วนผู้อำนวยการโรงเรียนละเลยหรือไม่ มองว่าไม่ละเลย เพราะบางทีจำนวนนักเรียนมีไม่มาก การแข่งขันไม่สูง ทางโรงเรียนอาจจะทำโดยไม่นึกถึงกระบวนการ เรื่องนี้สามารถจัดการได้ ไม่มีปัญหา และโรงเรียนนี้ ถือเป็นโรงเรียนเดียวจากโรงเรียนกว่า 30,000 แห่ง ที่มีการร้องเรียนเข้ามา อย่างไรก็ตามปีนี้ ได้รับความร่วมมือจาก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูง โรงเรียนส่วนกลาง และโรงเรียนต่างจังหวัด ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ ที่ทุกหน่วยงานทำงานร่วมกัน จะได้ไม่เกิดข้อครหานินทาจนถึงขั้นมีการร้องเรียน ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงจนทำให้รัฐเสียงบประมาณ สามารถนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปพัฒนาการศึกษาด้านอื่นๆได้” ดร.บุญรักษ์ กล่าว