“ธีระเกียรติ” กำชับ สพฐ.ติดตามใกล้ชิดกรณีผู้ปกครองบริจาครถตู้ 2 คันให้ร.ร.เตรียมอุดมฯ หาที่มาให้ชัดหรือใครมีเอี่ยว ย้ำมาตรการสกัดแป๊ะเจี๊ยะมีทุกคนต้องทำตาม ขณะที่ สพฐ.ขอรอร.ร.สรุปข้อเท็จจริงก่อน ยันไม่มีการฝากเด็ก ด้าน “ธนารัชต์” ชี้รถโผล่มาจอดสมัยอดีตผอ.โรงเรียนที่ปัจจุบันเกษียณอายุราชการไปแล้ว
วันนี้ (19 มี.ค.) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงกล่าวถึงกรณีโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้รับบริจาครถตู้ 2 คันจากผู้ปกครองมาตั้งแต่ช่วงปี 2560 แต่ปรากฎว่ารถไม่มีทะเบียน และไม่รู้ที่มาที่ไปแน่ชัดทำให้โรงเรียนไม่กล้านำมาใช้งาน โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าการบริจาคเพื่อแลกกับการรับนักเรียนหรือไม่ ซึ่งล่าสุดนายโสภณ กมล ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้ตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงแล้วนั้น ว่า เรื่องนี้ต้องไปตรวจสอบว่าใครเป็นผู้ปรารถนาดีและเกี่ยวข้องกับใครหรือไม่ ส่วนจะเกี่ยวข้องกับอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาหรือไม่ ตนไม่ทราบยังไม่อยากให้ความเห็นหรือปรักปรำใคร แต่ทราบแค่ที่ผ่านมามีการสอบอดีตผอ.โรงเรียนอยู่แต่ไม่รู้รายละเอียด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ยังไม่มีรายงานเข้ามา อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ผอ.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงถึงที่มาที่ไปของรถตู้ทั้ง 2 คันนั้นก็เป็นเรื่องที่ดีโรงเรียนก็ทำไปตามขั้นตอนรายงานไปยังเขตพื้นที่ฯ และรายงานต่อมายัง สพฐ.โดยตนจะได้กำชับไปยัง สพฐ.อีกครั้งให้ติดตามเรื่องดังกล่าวใกล้ชิด
“เรื่องแป๊ะเจี๊ยะไม่ต้องกำชับเป็นพิเศษ เพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำตาม อย่างรถตู้ก็ต้องตรวจสอบที่มาที่ไปผู้บริหารต้องรับผิดชอบ ความจริงก็มีมาตรการชัดเจนผู้ปกครองก็รับรู้ แต่ก็ยังมีบางคนพยายามจนประสบความสำเร็จ บางคนก็พยายามแต่ไม่ประสบความสำเร็จ แล้วก็มีการแฉกันแต่ผมว่าอย่าให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งเราให้สิทธิประชาชนทุกคนแสดงความเห็น ร้องเรียนได้ ภายใต้กฎหมาย กับผมแม้กระทั่งมีคนมาฝากของให้เป็นแค่ของกินผมยังระวัง ประสาอะไรกับการฝากเด็กยิ่งต้องระวังไม่ให้มีเกิดขึ้น”นพ.ธีระเกียรติ กล่าว
นพ.ธีระเกียรติ กล่าวต่อไปว่า ส่วนนโยบายการรับนักเรียนจะมีการสานต่อหรือไม่ในรัฐบาลชุดใหม่ ตนเชื่อว่าความต่อเนื่องของนโยบายที่ดี นักการเมืองใครเข้ามาก็ต้องทำคิดคงไม่มีใครกล้าเปลี่ยน เช่น การปรับลดการรับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษเหลือ 4 ประเภทจากเดิม 7 ประเภท ซึ่งคิดว่าไม่มีใครเปลี่ยน เพราะสังคมในปัจจุบันมีการตรวจสอบกันมากขึ้นและจากที่ตนได้ข้อมูลก็พบว่าช่วงปีที่ผ่านมาผู้ปกครองประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปจำนวนมาก
ด้าน ดร.บุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า จากที่ติดตามข่าวก็เห็นว่า ผอ.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก็ยังตกใจกับเรื่องนี้และได้ตั้งคณะกรรมการสืบหาข้อเท็จจริงแล้ว ก็ต้องรอให้มีการสืบก่อนว่าเป็นการได้มาอย่างไร เพื่อประโยชน์ราชการหรือไม่ขอให้รอสรุปชัดเจนก่อน ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะได้รับมาในช่วงที่มีการรับนักเรียน ถ้าเป็นการบริจาคเพื่อแลกกับการเข้าเรียนตรงนี้มีกฎหมายชัดเจนมาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่าการบริจาคต้องไม่มีเงื่อนไขแลกที่นั่งเรียน ซึ่งมีความผิดและ นพ.ธีระเกียรติ มีนโยบายชัดเจนว่าห้ามไม่ให้มีการฝากเด็กซึ่งตลอด 2 ปีที่ผ่านมาก็ดำเนินการอย่างเข้มงวด
ขณะที่ นายธนารัชต์ สมคเณ รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.) เขต 1 กรุงเทพ กล่าวว่า กรณีมีรถตู้ 2 คัดมาจอดในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เกิดขึ้นในสมัยอดีตผอ.โรงเรียน เพิ่งเกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2561 โดยรถตู้คันหนึ่งถูกนำมาจอดตั้งแต่วันที่ 6 มิ.ย. 2560 เป็นช่วงเวลาหลังการรับเด็กเสร็จสิ้น ทั้งนี้ส่วนตัวเองก็เพิ่งทราบเรื่อง โรงเรียนได้ตั้งคะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ว่า มีการรับรถตู้ทั้ง2 คัน มาได้อย่างไร และการบริจาคของที่มีมูลค่าสูง เป็นการบริจาคที่ถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ รวมถึงมีเอกสารหลักฐานการรับรถอย่างถูกต้องหรือไม่ โดยขอให้โรงเรียนรายงานให้ทางเขตพื้นที่ฯรับทราบเพื่อรายงานให้ สพฐ.รับทราบต่อไป ซึ่งขณะนี้รถทั้ง 2 คันยังจอดอยู่ที่โรงเรียนเตรียมอุดมฯ เดิมได้ขอให้ย้ายมาจอดที่เขตพื้นที่ฯ แล้ว แต่ไม่มีใครกล้าขับ ดังนั้นจึงให้โรงเรียนประสานไปยังสน.ปทุมวัน ให้ตำรวจมารับรถไปจอดไว้ที่สถานีตำรวจก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า อดีตผอ.โรงเรียนที่เกษียณอายุราชการแล้ว ยังสามารถตรวจสอบและหากพบว่า ทำผิดจริงสามารถดำเนินการทางวินัยได้หรือไม่ นายธนารัชต์ กล่าวว่า ยังสามารถดำเนินการได้ เพราะถือว่าเป็นข้าราชการบำนาญ ส่วนจะถือว่า ผิดว่านัยร้ายแรงหรือไม่นั้น ตอนนี้คงไม่สามรถบอกได้ ต้องรอผลการสอบสวนก่อน