กรมอนามัย ห่วงวันที่ 6-10 มี.ค. ค่ารังสียูวีสูงส่งผลต่อสุขภาพได้ใน 18 จังหวัด เสี่ยงเกิดอาการผิวไหม้จากแดด ผิวแก่ก่อนวัย มะเร็งผิวหนัง แนะวิธีระวังและป้องกันตนเอง
นพ.ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า แสงแดดมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต แต่หากได้รับมากเกินไปเป็นระยะเวลานาน รังสียูวีก็สามารถส่งผลกระทบต่อผิวหนัง ดวงตา และทำให้เกิดการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวหนังที่ผิดปกติเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังในระยะยาวได้ ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ค่าดัชนีรังสียูวี ซึ่งเป็นค่าที่บอกปริมาณของความเข้มของรังสียูวีที่ถูกส่งมายังพื้นโลก พบว่าระหว่างวันที่ 6-10 มีนาคม 2562 ประเทศไทยจะมีค่าดัชนีรังสียูวีสูงสุดอยู่ที่ระดับช่วง 9-13 คือส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดยพบที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ น่าน หนองคาย กำแพงเพชร ขอนแก่น เพชรบูรณ์ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ นครราชสีมา กาญจนบุรี กรุงเทพมหานคร ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ตราด สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และสงขลา
นพ.ดนัย กล่าวว่า ระดับความเข้มข้นของรังสียูวี ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นจะทำให้มีความเสี่ยงต่อสุขภาพสูงขึ้น มีผลกระทบต่อผิวหนัง ได้แก่ ผิวไหม้จากแดด ผิวแก่ก่อนวัย มะเร็งผิวหนัง รวมถึงส่งผลต่อดวงตา หากไม่มีการป้องกันอาจทำให้เกิดกระจกตาอักเสบ ภาวะจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ และในระยะยาวอาจเกิดต้อเนื้อ ต้อลม หรือต้อกระจก กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ นักท่องเที่ยว คนที่ทำงานกลางแจ้งติดต่อกันเป็นเวลานาน
“การป้องกันรังสียูวีทำได้โดยอยู่ในที่พักอาศัย อาคาร หรือในร่ม โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพผิวแพ้ง่ายหรือภูมิแพ้ หลีกเลี่ยงการตากแดดในช่วงเวลาที่มีรังสียูวีสูง คือเวลาประมาณ 10.00 - 16.00 น. หากจำเป็นต้องตากแดดควรใส่เสื้อแขนยาว มีสีอ่อน หลวม มีน้ำหนักเบาระบายความร้อนได้ดี กางร่มหรือสวมหมวกปีกกว้าง ใส่แว่นตากันแดด ทาครีมกันแดด SPF30+ ทุก 2 ชั่วโมง สำหรับผู้ที่ต้องทำงานกลางแจ้งควรจัดตารางเวลาทำงานสลับกับการพักเป็นระยะในที่ร่ม เพื่อลดความเสี่ยงจากการรับรังสียูวี” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว