xs
xsm
sm
md
lg

กรมสุขภาพจิต พร้อมหารือ ศธ.จัดระบบดูแลจิตใจเด็กใน "ร.ร.-มหา'ลัย" สกัดฆ่าตัวตาย ตั้งห้องพยาบาลจิตใจยังมีข้อดีข้อเสีย

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


กรมสุขภาพจิต รับลูก ศธ.เตรียมหารือจัดระบบดูแลสุขภาพจิตในโรงเรียน-มหาวิทยาลัย ป้องกันเด็กฆ่าตัวตาย เผยมีระบบอยู่แล้ว อบรมครูช่วยประเมินจิตใจเด็ก ส่งต่อ รพ.เมื่อมีปัญหา แต่ต้องทำให้เข้มแข็งขึ้น

จากกรณี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอให้ทุกโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ประสานหน่วยงนที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสุขภาพจิต ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย เพื่อดูแลมิติสุขภาพจิตเด็ก เนื่องจากที่ผ่านมามีนักเรียนและนักศึกษาฆ่าตัวตายบ่อยครั้ง

วันนี้ (7 มี.ค.) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า ที่ผ่านมาก็มีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา ในการวางระบบการดูแลสุขภาพจิตเด็กในโรงเรียน เพียงแต่อาจจะไม่ได้มีครบทุกโรง โดยได้มีการอบรมครูในการสังเกตและประเมินสุขภาพจิตของนักเรียนว่า มีปัญหา มีความเครียด มีปัญหาสุขภาพจิตอะไรหรือไม่ ซึ่งต้องเข้าใจว่า จิตแพทย์ไม่ได้มีจำนวนมาก แต่การสังเกตหรือประเมินอาการเบื้องต้น ครูในโรงเรียนสามารถดำเนินการได้ ซึ่งครูบางท่านก็เป็นนักสุขภาพจิตด้วย ก็สามารถให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่นักเรียนที่มีปัญหา หากเกินความสามารถก็ส่งต่อตามระบบเช่น ส่งโรงพยาบาลอำเภอ จังหวัด หรือส่งมาที่โรงพยาบาลสังกัดกรมสุขภาพจิต นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินการเรื่อง 1 โรงเรียน 1 โรงพยาบาล ที่จับคู่กันในการดูแลสุขภาพกายและจิตของเด็กด้วย

เมื่อถามว่า โรงเรียนยังมีห้องพยาบาลดูแลสุขภาพกาย ควรมีการตั้งห้องพยาบาลที่ดูแลด้านจิตใจโดยเฉพาะหรือไม่ นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ก็ถือเป็นข้อเสนอ แต่ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสียก็ต้องพิจารณาให้ดี แต่อย่างที่บอกคือ นักเรียนมีจำนวนมาก จิตแพทยืเองมีน้อย 200-400 คน การดูแลสุขภาพจิตนักเรียนอาจไม่ต้องถึงขั้นใช้จิตแพทย์ แต่ใช้นักสุขภาพจิตที่ผ่านมากฝึกอบรม มาช่วยประเมินคัดกรองและส่งต่อเมื่อมีปัญหาได้ ทั้งนี้ รมว.ศธ.เองก็เป็นจิตแพทย์ จึงมีความเป็นห่วงในเรื่องนี้ ซึ่งเราก็พร้อมที่จะหารือและร่วมมือในการวางแผนที่จะทำให้ระบบการดูแลสุขภาพจิตของเด็กนักเรียนเข้มแข็งขึ้น

นพ.ณัฐกร จำปาทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่น กล่าวถึงตัวเลขการฆ่าตัวตาย ว่า เมื่อนับย้อนหลัง 3-4 ปีมานี้ ยังไม่พบว่า การฆ่าตัวตายสูงขึ้นกว่าเดิม จะพบตัวเลขการฆ่าตัวตายสำเร็จอยู่ที่ประมาณ 4,000 ราย หรือบวกลบไม่เกิน 100 รายต่อปี อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการฆ่าตัวตายนั้น พบว่ากว่า 60% มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว เนื่องจากปัญหาความใกล้ชิดกับคนในครอบครัวนั้น มีผลมาก เพราะผู้ที่คิดจะฆ่าตัวตายจะมีความอ่อนไหวกับเรื่องครอบครัวเป็นหลัก ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือ คนในครอบครัวต้องมีการพูดคุยกันอย่างสร้างสรรค์ นอกจากนี้คนในครอบครัวก็ต้องพร้อมที่จะรับฟัง เพราะการฟัง ถือเป็นอาวุธที่สำคัญที่จะช่วยให้ผู้ที่คิดจะฆ่าตัวตายได้ปลดปล่อย สำหรับคนที่มีภาวะหดหู่อยากฆ่าตัวตาย สิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ ต้องหาใครซักคนอยู่ด้วย อย่าอยู่คนเดียวเด็ดขาด หรือหากไม่มีใครให้โทรปรึกษาสายด่วน 1323

นพ.ณัฐกร กล่าวต่อว่า สำหรับสัญญาณเตือน ที่เสี่ยงฆ่าตัวตาย คือ ผู้ที่คิดจะฆ่าตัวตายมัก โพสต์ข้อความหรือพูดในทำนองว่า หมดหนทางแล้ว เหนื่อยมาก ไม่มีทางออกแล้ว ไม่มีใคร ไม่อยากอยู่ในโลกนี้ แยกตัวออกจากสังคมไปอยู่คนเดียว และที่สำคัญเมื่อเราพบเห็นต้องรีบเข้าไปพูดคุย หรือรับฟังห้ามปล่อยให้อยู่คนเดียว อย่าคิดว่าจะไปขยี้แผลผู้ป่วยต้องเข้าไปพูดคุยให้เขาได้ระบาย


กำลังโหลดความคิดเห็น