xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย จากหนานจิงสู่เซี่ยงไฮ้/ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ช่วงปิดเทอมเทศกาลตรุษจีน ลูกชายสองคนกำลังเรียนอยู่ที่ประเทศจีนกลับมาบ้าน หลังจากแม่ถามไถ่ถึงชีวิตการเรียน ความเป็นอยู่ และประสบการณ์วัยกำลังค้นหาของลูกชายคนเล็ก "สิน สิทธิสมาน" หรือ "เฉินเทียนเป่า" วัย 19 ปี ที่ไปเรียนภาษาที่หนานจิงหนึ่งปี ก่อนจะย้ายมาเรียนปริญญาตรีที่เซี่ยงไฮ้ ก็เลยสอบถามว่ารู้สึกอย่างไร มีความแตกต่างกันอย่างไรของสองเมือง และกลายเป็นที่มาของบทความชิ้นนี้ค่ะ
...........................
เผลอแป็บเดียว ผมมาใช้ชีวิตอยู่ที่จีนเข้าปีที่ 2 และเมืองที่ 2 แล้ว...

หลังจากได้ใช้เวลา 9 เดือนเศษ ๆ แรกกับการเรียนภาษาจีนในหนานจิงเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่มหาวิทยาลัย จนเมื่อเดือนกันยายน 2018 ที่ผ่านมาผมก็ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ECNU (East China Normal University) ในมหานครเซี่ยงไฮ้

ถึงตอนนี้ก็ผ่านพ้นเทอมแรกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แน่นอนเลยว่าความแตกต่างระหว่างนักเรียนภาษา กับนักศึกษาปริญญาตรีย่อมมีมากพอสมควรเลยทีเดียว อย่างแรกเลยคือชั่วโมงเรียนที่เพิ่มขึ้น เรียนหนักขึ้น การบ้านมากขึ้น รวมทั้งวิชาเรียนที่เพิ่มขึ้นตามมา เรียกว่าเป็นปีของการเรียนหนักที่สุดในชีวิตของผมก็ว่าได้

และไม่ใช่แค่เรื่องเรียน อีกอย่างที่หนักไม่แพ้กันนั่นก็คือกิจกรรม

ชีวิตปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยมีกิจกรรมให้นักศึกษาทำหลากหลาย ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมนานาชาติ และแน่นอนเราต้องทำกิจกรรมในนามประเทศไทย ก็เลยต้องจัดเต็มทุกกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันร้องเพลง ประกวดอะไรต่าง ๆ มากมาย ซึ่งผมกับพี่ชายและกลุ่มพี่ ๆ คนไทยก็ได้เข้าร่วมแทบทุกกิจกรรม เช่น การแข่งขัน Talent Show และ Fashion Show ที่ต้องซ้อมกันแบบมาราธอนข้ามวันข้ามคืนเป็นเดือนกันเลยทีเดียว แต่ก็ไม่เสียแรงเปล่าเพราะก็ได้รับรางวัลติดไม้ติดมือมาเป็นลำดับ

และจากการซ้อมกิจกรรมนี่เองก็ทำให้ผมได้เรียนรู้จักการปรับตัว การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแบบทรหด ทำให้สนิทสนมกับเพื่อนได้เร็ว

นอกจากนี้ยังมีชมรมกีฬาต่าง ๆ มากมาย ผมก็ได้เข้าร่วมทั้งชมรมฟุตบอล ชมรมแบดมินตัน และที่ชมรมกีฬาเหล่านี้แหละที่ทำให้ผมได้เพื่อนต่างชาติหลายชาติ หลายภาษา และหลายคน ซึ่งผมยอมรับว่าการสื่อสารผ่านกีฬากับเพื่อนต่างชาติ ทำให้ภาษาอังกฤษผมก้าวหน้าไปมาก

ที่สำคัญยังมีโอกาสได้เรียนรู้ภาษาต่างชาติอื่น นอกจากภาษาจีนอีกด้วย ถือเป็นกำไรอย่างมากกับการเล่นกีฬา และได้มิตรสหายเพิ่มขึ้นไปในตัว เพื่อนที่ผมคบมีหลากหลายชาติมากทั้งยุโรปและเอเชีย แตกต่างจากปีที่แล้วที่หนานจิง ซึ่งเพื่อนส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนที่มาจากโซนประเทศที่ลงท้ายด้วยคำว่า '...สถาน' แถบเอเชียกลาง ซึ่งมีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร ทั้งศาสนา วัฒนธรรมและแนวความคิด

ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ทำกิจกรรมเยอะจริง ๆ เรียกได้ว่าแตกต่างกับที่หนานจิงที่จะไม่ค่อยมีกิจกรรมให้เข้าร่วมมากสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเราเป็นเพียงนักเรียนภาษาที่นั่น

จากวันนั้นถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 1 ปีกว่า ๆ ที่ผมได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศจีน และเป็นเวลา 4 เดือนเศษ ๆ ที่ได้ใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยที่มหานครเซี่ยงไฮ้ เมืองที่เต็มไปด้วยสีสัน ซึ่งแตกต่างจากหนานจิงโดยสิ้นเชิงที่เป็นเมืองสงบกว่ามาก แต่ถึงจะสงบก็ไม่ได้เงียบเหงาเสมอไป ผิดกับเซี่ยงไฮ้ที่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันและผู้คน แต่บางครั้งก็กลับทำให้เราเหงาและเคว้งคว้างได้เหมือนกัน

สิ่งที่จะทำให้เราเหงาหรือไม่นั้นแท้จริงแล้วมาจากตัวเราเอง ถ้าเราเรียนรู้ที่จะอยู่และปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ผู้คน สถานที่ ฯลฯ ความรู้สึกเหล่านี้เราก็จะจัดการได้ เพราะการเรียนในต่างประเทศต้องผ่านด่านการใช้ชีวิตที่ต้องอดทนในทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการเรียน ผมจึงต้องพยายามใช้ชีวิตด้านอื่นให้สมดุลและมีความสุขกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยที่เหลืออยู่อีกกว่า 3 ปี

ตอนนี้ชีวิตความเป็นอยู่ในเซี่ยงไฮ้ของผมก็เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว แม้จะมีอุปสรรคเข้ามาอยู่บ้าง แต่ผมก็ยังดีที่มีพี่ชายคอยช่วยหนุนหลังและเป็นกำลังใจให้อยู่เสมอ สำหรับตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องจริงจังกับการเรียนมากขึ้น ต่อจากนี้อะไรที่เบา ๆ ก็คงมีมาน้อยลง คงจะมีแต่เรื่องหนัก ๆ เข้ามามากขึ้น

ชีวิตก็สมควรเป็นแบบนี้มิใช่หรือ !

เพราะนี่คือชีวิตมหาวิทยาลัยของจริงแล้ว

สู้ต่อไปนะคุณสิน








กำลังโหลดความคิดเห็น