ผ้าย้อมครามสกลนคร ถือผ้าพื้นเมืองภาคอีสานภูมิปัญญาชาวบ้านที่อยู่คู่สังคมไทยมายาวนาน เป็นเอกลักษณ์สะท้อนวัฒนธรรมของชุมชนนั้นๆ ประจวบเหมาะกับรัฐบาลได้มีวางกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ได้มีการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ยกระดับมาตรฐานสินค้ากลุ่มผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าย้อมคราม และส่งเสริมพื้นที่ที่มีศักยภาพให้ก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางแฟชั่นในระดับภูมิภาค นอกจากนั้น คณะรัฐมนตรี ได้มีนโยบายส่งเสริมให้อนุรักษ์ ฟื้นฟูเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ตลอดจนการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนให้สามารถจัดการตนเองได้อย่างยั่งยืน
จิรภัทร เริ่มศรี นักศึกษาปริญญาเอก สาขาวิชานิเทศศาสตร์การตลาด คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เล่าว่า ผมสนใจผ้าย้อมคราม เนื่องจากผมเป็นคนในพื้นที่จังหวัดสกลนคร ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์จากผ้าย้อมครามจำนวนมาก แต่หลายหมู่บ้านยังไม่มีอัตลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่น เพราะต่างคนต่างผลิตทำให้รูปแบบของผลิตภัณฑ์มีความหลากหลาย จึงมองว่าการค้นหาอัตลักษณ์ของผ้าย้อมครามเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อสะท้อนให้ผู้บริโภคได้เห็นความเป็นตัวแทนของจังหวัดสกลนครผ่านผ้าย้อมคราม เพราะผ้าย้อมครามไม่ได้มีที่จังหวัดสกลนครที่เดียว จึงได้เกิดงานวิจัยเรื่อง “กลยุทธ์การสื่อสารอัตลักษณ์ผ้าย้อมครามสกลนคร” โดยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยสำหรับแผนงานเสริมสร้างศักยภาพและพัฒนานักวิจัยรุ่นใหม่ ตามทิศทางยุทธศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม ประเภทบัณฑิตศึกษา ระดับปริญญาเอก ประจำปี 2562 ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และในการลงพื้นที่เก็บข้อมูลก็จะได้รับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกเพื่อการวิจัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลส่งเสริมงานอนุรักษ์ศิลปะผ้าย้อมคราม และการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และด้านการตลาดของผ้าย้อมครามสกลนคร อาทิ สำนักงานพาณิชย์จังหวัด กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หอการค้าจังหวัดและหน่วยงานท้องถิ่นอื่นๆ ในจังหวัดสกลนคร โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการผ้าย้อมคราม เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการส่งเสริมให้ผู้ผลิตผ้าย้อมคราม นำจุดแข็งของชุมชนทางด้านวัฒนธรรมวิถีชีวิตและภูมิปัญญาที่มีอัตลักษณ์เชื่อมโยงสู่ภาคการผลิตและบริการเพื่อสร้างความแข็งแกร่งตราสินค้าที่จะต่อสู้กับธุรกิจอุตสาหกรรมผ้าทอขนาดใหญ่ ช่วยให้ผู้บริโภคได้ประเมินคุณภาพและเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนของผ้าย้อมครามจังหวัดสกลนครทำให้เกิดการเรียนรู้ระหว่างผู้บริโภคกับชุมชน เกิดความยั่งยืนในวิถีเศรษฐกิจ มีการพัฒนารูปแบบสินค้าที่ตรงต่อความต้องการของผู้บริโภค เพื่อการอนุรักษ์และสืบทอดสินค้าที่เกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่นของกลุ่มผ้าย้อมครามให้คงอยู่ต่อไป ที่สำคัญสร้างอัตลักษณ์ผ้าย้อมครามสกลนครในเวทีผ้าระดับโลก ผ้าย้อมครามเป็นภูมิปัญญาที่มีในเกือบทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียน และของทวีปเอเชียและยุโรป ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยสามารถนำไปพัฒนารูปแบบการสื่อสารการตลาด เพื่อเผยแพร่และตอกย้ำให้ผู้บริโภคได้รับรู้ ตระหนักถึงความสำคัญของอัตลักษณ์ผ้าย้อมครามที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น สามารถนำข้อมูลไปปรับใช้เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมช่วยเพิ่มรายได้ของตนเองและครอบครัวได้
นางปรารี พิมมะทา ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทอผ้าย้อมครามเชิงดอยจังหวัดสกลนคร กล่าวว่า ในอดีตการเดินทางสัญจรไม่ได้สะดวกสบายเหมือนปัจจุบัน ทำให้ในชุมชนมีการทอผ้าใช้กันเองในครัวเรือน ภูมิปัญญาต่าง ๆ ได้รับการสืบทอดมาจากพ่อ และแม่ เพราะตนเองได้เห็นการย้อมครามมาตั้งแต่เด็ก แต่ผ้าย้อมครามยังเป็นการถักทอใช้กันในครัวเรือน แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้ผ้าย้อมครามเป็นที่รู้จักเกิดจากการส่งเสริมของรัฐบาลในปี 2542 ที่ได้มีการส่งเสริมให้ชุมชนได้พัฒนาสินค้าโดยใช้สิ่งที่มีอยู่ในชุมชนในการสร้างรายได้ให้ชุมชน จึงทำให้มีการรวมกลุ่มกันเพื่อทำผ้าย้อมคราม ในช่วงแรกจะมีผ้าม้วน ต่อมาก็มีเสื้อ กางเกง ผ้าพันคอ และผ้าคลุมไหล่ โดยได้รับการสนับสนุนจากพัฒนาชุมชนจังหวัดสกลนคร และหน่วยงานในท้องถิ่น จึงทำให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนทอผ้าย้อมครามเชิงดอยขึ้นมาเราได้รับการสนับสนุนจากพัฒนาชุมชนจังหวัด ในเรื่องของการพัฒนารูปแบบสินค้า และช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า พาณิชย์จังหวัด ในเรื่องของการส่งเสริมสินค้าGIกลุ่มลูกค้ามีหลายระดับ เป็นกลุ่มคนทำงาน คนที่ค้นหาความเป็นธรรมชาติ ส่วนใหญ่คนที่ซื้อผ้าย้อมคราม จะเป็นกลุ่มของคนที่มีกำลังซื้อ เนื่องจากราคาผ้าฝ้ายย้อมครามราคาค่อนข้างสูง เพราะเป็นสินค้า Handmade ปัจจุบันลูกค้าของเราก็จะมีญี่ปุ่น อิตาลี จีนและอังกฤษ ส่วนใหญ่กลุ่มลูกค้าต่างประเทศที่มาซื้อผ้าฝ้ายย้อมครามจะมีผู้ประสานมาที่กลุ่ม เอกลักษณ์ผ้าย้อมครามของจังหวัดสกลนครเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากฝ้าย ใช้สีครามธรรมชาติ นำมามัดหมี่ให้เกิดลวดลายที่สะท้อนความเป็นชุมชนของผู้ผลิตผ้าฝ้ายย้อมครามยิ่งมีสีเข้มยิ่งคุณมีสมบัติเป็นยาสมุนไพร
รศ.ดร.จันทิมา เขียวแก้ว ผู้อำนวยการหลักสูตรนิเทศศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์การตลาดคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า งานวิจัยเรื่องนี้ยังสามารถนำไปเป็นประโยชน์ในการวิจัยและพัฒนางานศิลปหัตถกรรมผ้าย้อมให้เป็นสินค้าวัฒนธรรมที่สามารถสร้างรายได้ตามแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ในยุค 4.0 ได้ เช่น การวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาการแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องต่อความต้องการของตลาด การวิจัยด้านองค์ประกอบทางเคมีของครามธรรมชาติ เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจกับคุณสมบัติของครามเพื่อนำมายกระดับคุณภาพการผลิตของผู้ประกอบการให้สามารถผ่านการประเมินคุณภาพได้รับการรับรองต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเช่น Green Products Certificate เพื่อแสดงว่าผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามเป็นสินค้าที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม GI Certificate ที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์เชิงพื้นที่ภูมิศาสตร์ เป็นแนวทางการอนุรักษ์ศิลปะอัตลักษณ์ความเป็นผ้าย้อมครามสกลนครให้สืบทอดต่อไป และยังเป็นแนวทางในการศึกษาการสื่อสารการตลาดผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมอื่นๆ ที่ใกล้เคียงได้ ไม่เฉพาะในเขตสกลนคร แต่ในจังหวัดอื่นๆ ได้ นอกจากนั้นในด้านการศึกษาพบว่าในอียิปต์ยังพบว่ามีการนำเอาศิลปะการย้อมครามโบราณดั้งเดิมในยุคฟาโรห์หลายพันปีมาเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ในห้องเรียนสำหรับเด็กได้ดี ซึ่งเราก็สามารถทำได้เช่นกัน ผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามที่จริงแล้วเป็นศิลปหัตถกรรมอันเป็นมรดกของโลก ไม่เฉพาะในประเทศไทยครามเป็นสินค้าสำคัญที่มีตั้งแต่ยุคโบราณ ในการค้าขายตามเส้นทางโบราณสายไหม (Silk Road) ครามก็เป็นสินค้าสำคัญในขบวนคาราวานสินค้า การย้อมผ้าครามมีในเกือบทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียน และของทวีปเอเชียและยุโรป”
“ข้อมูลจากการวิจัยพบว่าผู้ประกอบการผู้ย้อมครามแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในสกลนคร ส่วนแรงบันดาลใจในการกลับมารื้อฟื้นการผลิตผ้าย้อมครามของครอบครัวที่ได้มาจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีการผลิตและใช้ผ้าย้อมครามกันมาก และจากการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นมาเมื่อปีใหม่ก็พบว่ามีการประชาสัมพันธ์กิจกรรมนิทรรศการเกี่ยวกับผ้าย้อมครามในเมืองนากาโน ซึ่งคิดว่าจะเป็นจุดต่อยอดความร่วมมือสร้างความร่วมมือทางวิชาการกันได้ไม่ยาก เพราะเรามีความสนใจร่วมกัน และญี่ปุ่นก็เป็นลูกค้าสำคัญที่มาสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามจากผู้ประกอบการในจังหวัดสกลนครที่สำคัญเอาใกล้ตัวเราคือกลุ่มประเทศอาเชียน ก็มีการผลิตผ้าครามกันทั้งนั้น แต่หากเราจะโฟกัสกันประเทศที่มีเขตแดนติดต่อกันเช่น กัมพูชา ลาว ก็มีองค์กรที่รณรงค์เรื่องการอนุรักษ์ศิลปะผ้าย้อมครามกันมาก ในประเทศกัมพูชามีการรณรงค์กันมากเพราะอยู่ในสภาพของการเสี่ยงที่จะสูญหายไป ที่กัมพูชาได้รับการช่วยเหลือในเรื่องนี้จาก NGO ของประเทศญี่ปุ่น ถือได้ว่าเป็นโอกาสในการนำไปต่อยอดสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคหรือระดับนานาชาติมากขึ้น” รศ.ดร.จันทิมา กล่าว