xs
xsm
sm
md
lg

เผย 16 ตำรับยาแผนไทย มี “กัญชา” ผสม พร้อมให้ “หมอแผนไทย-พื้นบ้าน” ใช้ หลัง กม.คลอด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


กรมแพทย์แผนไทย รวมรวบตำรับยาแผนไทย 90 ตำรับ มี “กัญชา” เป็นส่วนผสม แบ่งเป็น 4 หมวด เผยหมวด ก. พร้อมใช้ได้ทันทีหากกฎหมายประกาศใช้ จำนวน 16 ตำรับ ส่วนใหญ่รักษาเรื่องลม นอนหลับ แก้ปวด รับประทานได้ ชี้ แพทย์แผนไทย แพทย์พื้นบ้าน สามารถใช้ได้ หากมีสูตรตำรับใช้กัญชาที่แตกต่าง ต้องแจ้งทางกรมฯ ด้าน หมวด ข ต้องวิจัยเพิ่ม หมวด ค ง ติดส่วนผสมข้อห้าม ต้องขออนุญาตวิจัย

วันนี้ (25 ม.ค.) นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ว่า กรมแพทย์แผนไทยฯ จะเป็นแกนกลางในการพัฒนาระบบการแพทย์แผนไทยทั้งหมด เพื่อนำสู่การแปรรูปเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะได้ทั้งสมุนไพรหลัก ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยา เครื่องสำอาง โดยทั้งหมดมีมูลค่ามหาศาลเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาท ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพในจุดนี้ รวมทั้งการพัฒนาเรื่องสารสกัดจากกัญชา เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ โดยกัญชาเป็นที่สนใจ และขณะนี้กำลังผลักดันร่างกฎหมายเพื่อให้กัญชาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ แต่ก็ยังเป็นสารเสพติดอยู่ ซึ่งก็จะมีกรอบในการใช้ โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะเป็นหลักในการออกกฎกระทรวง ระเบียบต่างๆ ทั้งการเพาะปลูก แปรรูป และการขึ้นทะเบียน โดยอยู่ระหว่างดำเนินการ แต่ทั้งหมดไม่ต้องกังวล จะมีกรอบระเบียบในการใช้อย่างเข้มงวด

นพ.มรุต  จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ กล่าวว่า กรมฯ ได้รวบรวมสูตรตำรับยาแผนไทย เพื่อเสนอต่อ รมว.สาธารณสุข โดยจากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ พบว่ามีกว่า 26,000 ตำรับ แต่พิจารณาคัดเลือกพบ 212 ตำรับ และเมื่อนำมาพิจารณาตรวจสอบก็พบว่า มีความซ้ำซ้อนของตำรับอยู่ จึงแยกออกมาได้จริงๆ คือ 90 ตำรับที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม ก็มีการประชุมหารือว่าจะใช้อย่างไร เพราะของเดิมถูกจำกัดว่า เป็นยาเสพติด ใช้ไม่ได้ แต่เมื่อมีการแยกออกเป็นหมวดหมู่ 4 หมวด ประกอบด้วย 1. หมวด ก เป็นตำรับยาตามองค์ความรู้เป็นที่รู้จัก ตัวยาหาง่าย และมีกัญชา เป็นส่วนผสมค่อนข้างมาก และบางตำรับก็มีการใช้กันอยู่ในปัจจุบัน แต่ตัดส่วนผสมกัญชาออก ซึ่งรวมทั้งหมดมีจำนวน 16 ตำรับ

“16 ตำรับส่วนใหญ่รักษาเรื่องลม  การนอนหลับ แก้ปวด รับประทานอาหารได้ เน้นการส่งเสริมสุขภาพ ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ประกอบด้วย  1. ยาน้ำมันสนั่นไตรภพ  2. ยาอัคคินีวคณะ 3. ยาศุขไสยาศน์  4. ยาแก้ลมเนาวนารีวาโย 5. ยาแก้ลมขึ้นเบื้องสูง 6. ยาไฟอาวุธ 7. ยาแก้นอนไม่หลับ หรือยาแก้ไข้ผอมเหลือง 8. ยาแก้สัณฑฆาต กร่อนแห้ง 9. ยาอัมฤตโอสถ 10. ยาอไภยสาลี 11. ยาแก้ลมแก้เส้น 12. ยาแก้โรคจิต 13. ยาไพสาลี  14. ยาทาริดสีดวงทวารหนักและโรคผิวหนัง 15. ยาทำลายพระสุเมรุ  และ 16. ยาทัพยาธิคุณ” นพ.มรุต กล่าว

นพ.มรุต กล่าวว่า 2. หมวด ข  ตำรับยาที่มีประสิทธิผล แต่มีการปรุงไม่ชัดเจน และตัวยาหายาก มีจำนวน 11 ตำรับ กลุ่มนี้ต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม 3.หมวด ค เป็นกลุ่มไม่แน่นอน เขียนในคัมภีร์ เป็นคำกลอน เขียนในโรคต่างๆ ยังไม่ชัดเจน กัญชาเป็นส่วนผสมน้อย กลุ่มนี้มีจำนวน 32 ตำรับ  และ 4.หมวด ง ตำรับยาที่มีส่วนประกอบห้ามใช้ เนื่องจากอาจมีสารพิษผสมอยู่ หรือมีตัวที่ทางองค์การอนามัยโลกห้ามใช้ เช่น คล้ายเครือ หรือมีสารประกอบของพืชหรือสัตว์ผสมเป็นข้อห้ามตามอนุสัญญาไซเตส (CITES) จึงต้องห้ามใช้ มี 31 ตำรับ โดยหากจะใช้หมวด ค และ ง จะต้องอยู่ในการควบคุมต้องเป็นโครงการวิจัย ดังนั้น ที่ใช้ได้เลยหากกฎหมายออกมา ก็คือ หมวด ก ซึ่งมี 16 ตำรับ แต่ทั้งหมดก็ต้องขออนุญาตตามคณะกรรมการยาเสพติด และเกณฑ์ตามที่ อย. กำหนด จากนั้นจึงออกเป็นประกาศโดยรัฐมนตรีว่าการ สธ. ลงนาม ดังนั้น ขณะนี้จึงยังใช้ไม่ได้ เพราะกฎหมายยังไม่มีมารองรับ

ผู้สื่อข่าวถามถึงความพร้อมการใช้กัญชาทางการแพทย์ หากกฎหมายพร้อมแล้ว นพ.มรุต กล่าวว่า ขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมแล้ว ทั้งเรื่องการผลิตตัวยาตำรับทั้ง 16 ตำรับ โดยจะเป็นไปตามข้อบทกฎหมายทั้งหมด ส่วนผู้ที่จะใช้มี 4 กลุ่มใหญ่ คือ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ แพทย์พื้นบ้าน และหมอพื้นบ้าน โดยทั้ง 4 กลุ่มจะต้องผ่านการอบรม และผ่านการอนุญาตก่อน ซึ่งจะมีเกณฑ์ต่างๆ โดยการจะใช้กับผู้ป่วยก็จะมีข้อกำหนดว่า ใช้กับผู้ป่วยแบบใด อาการมากน้อยแค่ไหน และมีการติดตามผลอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งการระบุแบบนี้ก็ไม่ต่างจากแพทย์แผนปัจจุบัน เรียกว่าจะต้องมีการขึ้นทะเบียนก่อนนั่นเอง

เมื่อถามว่า กฎหมายจะรองรับให้รายบุคคลใช้ได้แล้วหรือไม่ นพ.มรุต กล่าวว่า อนุญาตใน 4 กลุ่ม แต่ต้องผ่านการอบรม การขออนุญาต ซึ่งจะมีระบบในการตรวจสอบเข้มงวด เพราะกัญชาก็เป็นยาเสพติด เพียงแต่อนุญาตให้นำมาใช้ทางการแพทย์ รวมทั้งเมื่ออนุญาตแล้วก็จะมีระบบตรวจสอบอีก ที่สำคัญแพทย์พื้นบ้าน และหมอพื้นบ้าน ในกติกาเดิมสามารถปรุงยาของตัวเองได้ ซึ่งอาจต่างจาก 16 ตำรับนั้น โดยในเรื่องนี้ก็ต้องเอาตำรับของตัวเองมาแจ้งทางกรมฯ และจะต้องผ่านคณะกรรมการว่าใช้ได้หรือไม่ เพราะเรื่องนี้อนุญาตง่ายๆ ไม่ได้  อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการรัดกุม และป้องกันการใช้ในทางที่ผิด ทางกรมฯ มี 2 ทางเลือก คือ 1. จะผลิตออกเป็นตำรับยาสำเร็จ และกระจายให้ทางโรงพยาบาลต่างๆ ที่ต้องการมาขึ้นทะเบียนรับไปใช้ประโยชน์กับผู้ป่วยแบบมีข้อกำหนด และ 2. จะทำเป็นเครื่องยาผสมกัญชากลาง สำหรับการปรุงยาเฉพาะรายขึ้น เพื่อให้ไม่ต้องไปหาวัตถุดิบเอง ไม่ต้องหากัญชาเดี่ยวๆ แต่เราจะทำเป็นเครื่องยาผสมกัญชาแล้ว

เมื่อถามต่อว่า ปัจจุบันมีแพทย์แผนไทยแจ้งความประสงค์จะขึ้นทะเบียนใช้กัญชาทางการแพทย์จำนวนเท่าไร นพ.มรุต กล่าวว่า  ขณะนี้กำลังสำรวจหมอแพทย์ไทย ว่า มีจำนวนเท่าไรจะใช้บ้าง และใช้ปริมาณเท่าไร อย่างไร โดยเราจะได้เตรียมพร้อมว่า จำนวนที่จะขึ้นทะเบียนทั้ง 4 กลุ่ม คือ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ แพทย์พื้นบ้าน และหมอพื้นบ้าน ทั้งหมดมีเท่าไร เพื่อทำให้เป็นระบบทั้งประเทศ  

ผู้สื่อถามถึงกรณีสิทธิบัตรกัญชาจะกระทบกับแพทย์แผนไทยหรือไม่ นพ.มรุต กล่าวว่า ของเรากระทบน้อย ตรงที่เป็นการใช้แบบสด แต่ที่ต่างชาติมาจดสิทธิบัตรจะเป็นเรื่องสารสกัด THC และ CBD  แต่กรมฯก็เป็นห่วง เพราะจริงๆ ก็ไม่น่าจะขอสิทธิบัตรได้ เนื่องจากเป็นสารธรรมชาติ และตัวกัญชาก็ยังเป็นยาเสพติดอยู่ด้วย

นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า อย. รายงานความคืบหน้าต่อ รมว.สาธารณสุข ทุกสัปดาห์ ซึ่งการออกกฎหมายจะแบ่งเป็นระยะเร่งด่วน 4 ฉบับ ซึ่งจะต้องร่างให้แล้วเสร็จภายใน ก.พ. นี้ ได้แก่ 1. ประกาศเรื่องลักษณะการปลูกกัญชา ว่า คนที่ขออนุญาตใช้ในทางการแพทย์กับการขอปลูกต้องสอดคล้องกัน มีการระบุชัดว่าใช้ปลูกเพื่อรักษาโรคอะไรต้องใช้ปริมาณเท่าไร เป็นต้น 2. การขออนุญาตนำเข้าจากต่างประเทศ ต้องมีการขออนุญาตชัดเจน การนำไปใช้และข้อบ่งชี้ว่าใช้กับโรคอะไรบ้าง หลักๆ จะมี 4 กลุ่มโรค 3. การกำหนดแพทย์ว่าจะอนุญาตให้ใครบ้างสามารถดำเนินการนำไปใช้ได้ และ 4. การอนุญาตให้กับกลุ่มที่มีการดำเนินการไปแล้ว ซึ่งจะต้องมีการมาขออนุญาตภายใน 90 วัน ส่วนอีก 4 ฉบับ เป็นเรื่องของเนื้อหาและรายละเอียดต่างๆ ก็มีการวางกรอบว่าจะต้องการการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน มี.ค.-เม.ย. นี้



กำลังโหลดความคิดเห็น